การกลับมาของพรีเดเตอร์อีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ได้ผู้กำกับ Dan Trachtenberg จาก Cloverfield มากำกับ ในเรื่องราวย้อนไปยุคสมัยอินเดียนแดง ที่มีคนขาวบุกรุกเข้ามาแล้วต้องเจอกับนักล่าจากต่างดาวตัวนี้เข้า และในวันนี้ผู้เขียนก็จะมา แนะนำหนังใหม่ ที่ฉายทาง สตรีมมิ่ง Disney+ จากค่าย 20th Century Studios ซึ่งมีชื่อเรื่องว่า Prey (2022)
เชิญติดตามหนังดังเข้าใหม่เรื่องสนุกได้ที่นี่ ดูหนังออนไลน์
พรีเดเตอร์ย้อนยุคสนุกโหดลุ้น
รีวิวหนัง Prey เรื่องย่อ
Prey (2022) เรื่องย่อ เป็นเรื่องราวย้อนไปยังประมาณปี 1700 เป็นยุคแห่งการต่อสู้ของเผ่าอินเดียนแดงเผ่าโคแมนชี (Comanche) ซึ่งตัวเอกของภาคนี่ก็คือ Naru (แอมเบอร์ มิดธันเดอร์) นักรบหญิงแห่งเผ่าอินเดียแดง ที่พบว่าตอนนี้เผ่าโคแมนชีของเธอ กำลังถูกภัยคุกคามครั้งใหญ่จากศัตรู
แต่ดูเหมือนว่าศัตรูที่เธอคิดนั้นจะไม่ใช่ศัตรูธรรมดา เพราะมันมนุษย์ต่างดาวยอดนักล่าอย่าง Predator งานนี้จึงเป็นหน้าที่ของ Naru หญิงแกร่งแห่งชนเผ่า ที่จะต้องออกเดินทาง งัดทุกกลยุธเพื่อมาใช้ในการห่ำหั่นกับศัตรูสุดโหดเพื่อปกป้องชนเผ่าของเธอ
สำหรับภาพยนต์เรื่องนี้ เป็นผลงานการกำกับของผู้กำกับ แดน แทคเทินเบิร์ก ได้รับการพัฒนาในระหว่างที่ The Predator (2018)
ภายใต้การอำนวยการสร้างของ 20th Century Studios และได้เริ่มถ่ายทำตั้งแต่ปี 2021 ภายใต้ชื่อโปรเจ็ค Skull มีกำหนดฉายในเดือนสิงหาคม 2022 นี้ บนบริการสตรีมมิง Hulu ในต่างประเทศที่ Disney ถือหุ้นใหญ่อยู่
ถ้ามองอย่างผิวเผินเรื่องราวในหนังนั้นเรียบง่ายแต่แจ่มชัดอย่างยิ่ง มันคือการหวนคืนสู่นิยามตั้งต้นของคำว่า ผู้ล่าและเหยื่อในห่วงโซ่อาหารที่มีลำดับชั้น
แต่มีนัยถึงเรื่องศักดิ์ศรีการยอมรับของนักรบอยู่ในตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่กินใจผู้ชมที่ชื่นชอบหนังแอ็กชันหรือแนวนักสู้ได้ง่าย ในหนังแนวนี้ยิ่งมีความห่างชั้นระหว่างผู้ล่าและเหยื่อมากเท่าใด
คนดูก็ยิ่งจะลุ้นเอาใจช่วย และจะยิ่งปลาบปลื้มได้มากขึ้นเมื่อฝั่งมวยรองพลิกเอาชนะหรือเอาชีวิตรอดมาได้
มันจึงนำมาสู่วิธีคิดที่ว่าให้นักล่าต่างดาวที่โหดเหี้ยม พละกำลังมหาศาล มีสติปัญญาสูงส่ง แถมมีอาวุธล้ำสมัยทั้งระยะประชิดและระยะไกล รวมถึงหายตัวได้อีก
ต้องมาสู้กับเหยื่อที่อารยธรรมต้อยต่ำกว่า มีเครื่องไม้เครื่องมือเอาชีวิตรอดในธรรมชาติไปวัน ๆ ยังดูยากลำบากอย่างชนเผ่าพื้นเมืองโคแมนชี (Comanche) ของอเมริกาที่มีวัฒนธรรมของการล่าอยู่ด้วยนี่เอง แนะนำหนังใหม่ที่กำลังจะเข้าฉายในโรงภาพยนต์ Transformers Rise of the Beasts
การดำเนินเรื่อง
เรื่องราวยังคงสูตรสำเร็จแบบเดิม พรีเดเตอร์มาล่าคนเก่ง ฆ่าคนมีอาวุธ ล่าสัตว์ร้ายในป่า มีล่องหน ที่แก้ด้วยการลดอุณหภูมิในตัวแบบเดิม (แต่ใช้มุกใหม่) มีหมวกเลเซอร์ล็อกเป้า
มีกรงเล็บยืดหดได้ ร่างกายแข็งแรงว่องไว มีของเล่นใหม่ที่เห็นชัดๆ คือโล่ไว้บังกระสุนกับเป็นของมีคมปาร่อนได้แทนจานร่อน แต่ผู้สร้างก็เขียนบทลดพลังความสามารถโดยรวมๆ
ลงมาพอสมควร จะเห็นว่ามันยังโหดอยู่ แต่ก็ไม่เว่อร์ขนาดที่จะฆ่าไม่ได้ตั้งแต่แรก ด้วยการให้มันโดนยิงฟันแทงอยู่เรื่อยๆ ทั้งเรื่อง Prey รีวิว Pantip
เป็นพรีเดเตอร์ที่เหมือนไม่คิดจะหลบอะไรมาก มักโดนอะไรง่ายๆ ขนาดเดินไปติดกับดักสัตว์เองก็มี ซึ่งแอบคิดว่าตัวในเรื่องนี้ออกโง่นิดๆ ด้วย
แต่ก้เข้าใจได้เพราะนี่เหมือนเป็นยุคที่พึ่งเริ่มมีปืนอัดดินดำ ถ้าไม่ปรับสมดุลย์ให้พอสู้ได้คงหมดสนุกไปในทันที
ซึ่งเรืองก็ถือว่าว่าบาลานซ์จุดนี้ทำให้เราเชื่อได้ตั้งแต่แรกว่าอินเดียนแดงในยุคนั้นพอสู้ได้แน่นอน และในหนังเองก็ดันทำให้อินเดียนแดงเก่งเว่อร์ด้วย ขนาดที่ว่าบู้ตัวๆ แบบไม่พึ่งอะไรนี่พรีเดเตอร์แพ้อีกต่างหากด้วยค่ะ แต่ก็ตามสูตรมันต้องมีไอเทมช่วยโกงให้ชนะมนุษย์เสมอ
ตัวหนังหันมาโฟกัสที่เรื่องราวของ Naru ที่พยายามให้คนในเผ่ายอมรับ ซึ่งบทเขียนได้ดีมาก ทำให้เราเชื่อได้ว่าแม้สรีระร่างกายอาจจะอ่อนแอกว่า
แต่จุดที่ผู้หญิงอย่างเธอเหนือกว่าคือสมองและการตัดสินใจวางแผลกลยุทธเอาชนะคู่ต่อสู้ ซึ่งในเรื่องมีฉากแสดงให้เห็นถึงการเอาตัวรอดของเธอโดยใช้สมองมากกว่ากำลังอยู่เรื่อยๆ
แต่ก็ไม่ทิ้งเรื่องการบู้ไปเพราะเธอก็ยังคงเป็นสายบู๊ที่เก่งมากระดับที่ผู้ชายรุมยังเอาไม่ลง โดยมีหมาเป็นตัวช่วยต่อสู้ด้วยอีกทาง
ซึ่งมีบทบาทอยู่ตลอดเรื่องไปจนถึงการต่อสู้กับพรีเดเตอร์ในไคลแม็กซ์ตอนท้ายเลย โดยไม่มีฉากเศร้าสะเทือนใจกับคนรักสัตว์ไม่ต้องกลัวดูได้เลย และอาจจะชอบเจ้าหมานี่ด้วยเพราะบทส่งให้คู่กับนางเอกมากจริงๆ
นอกจากนี้ก็ยังมีพี่ชายของเธอที่มีบทไม่น้อยเลย เป็นนักรบที่เก่งแบบบู๊ตัวๆ กับพรีเดอเตอร์ได้ แต่น่าเสียดายที่เหมือนกลัวจะเด่นเกินไป บทเลยให้มาแค่ฉากสั้นๆ เท่านั้น
พล็อตเรื่อง
ตัวเรื่องยังแบ่งเวลาช่วงนึงให้คนขาวเข้ามามีบทบาท ซึ่งก็คือมาเป็นเหยื่อคั่นเวลาให้นางเอกนั่นแหละ
แต่บทคนขาวก็สอดแทรกเข้ามาดีทำให้ธีมเรื่องไม่ใช่แค่อินเดียนแดง vs เอเลี่ยนต่างดาว แต่เป็นพวกต่างด้าวคนขาวมารุกรานไล่ล่าพวกเขาด้วย prey พากย์ไทย pantip
ซึ่งเข้ากันมากกับธีมของพรีเดเตอร์ที่มันจะมาในช่วงยุคสมัยที่มีการล่าอะไรแบบนี้ในประวัติศาสตร์ ก็เป็นส่วนเสริมเรื่องราวให้ดูมีน้ำหนักมากขึ้นด้วย
โดยรวมฉากแอ็กชั่นของเรื่องทำให้ระทึกตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ เราจะได้เห็นความโหดของพรีเดเตอร์แบบสะใจเหมือนเก่า มีฉากติดเรตให้เห็นทั้งเรื่องแต่ไม่แหวะ ออกมากำลังดี ในขอบเขตที่แฟนๆ พรีเดเตอร์พึงพอใจ เพราะถึงแม้ลงดิสนีย์+ แต่งานสร้างไม่ใช่ดิสนีย์ทำ
ส่วนจุดด้อยมีบางๆ เป็นข้อจำกัดการทำหนังมากกว่าอย่างภาษาในเรื่องใช้อังกฤษทั้งหมดยกเว้นคนขาวที่บุกเข้ามามีใช้ภาษาอื่น (น่าจะโปรตุเกส)
ซึ่งการที่เห็นเนื้อเรื่องอินเดียนแดงเป็นตัวเอกแต่พูด ENG กันหมดก็เป็นอะไรที่แหม่งๆ อยู่พอสมควร แต่ก็เข้าใจได้นั่นแหละค่ะ (เรื่องนี้ไม่มีพากย์ด้วย)
และตัวนางเอกที่มารับบทนี้เป็นเม็กซิกันพื้นเมืองชื่อ Amber Midthunder ซึ่งก็พอเนียนๆ ว่าเป็นอินเดียนแดงได้ แต่ก็ยังดูผิวขาวและใสมากไปนิด แต่ดีที่เธอแสดงดี บทก็ดี เลยไม่มีปัญหาคาใจอะไรมาก
หรืออีกจุดก็คือการที่พรีเดเตอร์ตัวนี้ค่อนข้างกลวงๆ เราไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันมาก เหมือนแค่เป็นบอสที่มาล่าทั่วๆ ไป ไม่ได้มีความพยายามถ่ายทอดอะไรให้เห็นแบบภาคอื่นๆ
ที่อาจจะมีการพูดคุยออกเสียงภาษาของมัน หรือมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์บ้าง แต่เรื่องนี้คือไม่มีเลย ซึ่งก็ไม่ถือว่าแย่อะไร แต่มันจบแล้วก็จบ ไม่เหมือนอย่างภาคแรกที่อาร์โนลด์เล่นยังมีฉากจบที่มันสื่อสารกับตัวเอกก่อนทิ้งทวนระเบิดตัวเองนั่นแหละค่ะ แต่ตัวนี้ไร้ซึ่งทุกอย่างเลย
ความน่าติดตาม
การดำเนินเรื่องของหนังมาในแนวหนังเอาชีวิตรอดที่ไม่ได้บู๊หนักทุกฉาก แต่เน้นเป็นการสร้างบรรยากาศความกดดันและความตึงเครียดซะมากกว่า
โดยเนื้อหาหลัก ๆ ของหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ซับซ้อน เป็นหนังที่เล่าถึงความมุ่งมั่นอยากจะพิสูจน์ตัวเองและต้องการเป็นที่ยอมรับในฐานะนักสู้ของ Naru
ที่ถึงแม้เธอจะไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแกร่ง กำยำจนสามารถใช้ความแข็งแรงทางร่างกายเข้าสู้ได้มากนัก
แต่เธอก็อาศัยไหวพริบและทักษะในการวางแผนเข้าต่อกรกับอสูรร้ายอย่างไม่ท้อถอย โดยฉากแอคชั่นเรื่องนี้ไม่ได้ทำออกมาให้ตัวเอกอย่าง Naru เก่งกาจชนิดเกินคน ซึ่งก็เป็นจุดที่ทำออกมาได้สมเหตุสมผลค่ะ
และนอกจากนี้ การใช้โลเคชั่นเป็นป่าเขา ก็ชวนให้ผู้ชมย้อนนึกถึงความระทึกขวัญแบบดิบ ๆ เหมือน Predator ภาคแรกในปี 1987
และภาพยนตร์ชุดที่ 3 ของแฟรนไชส์ที่ปล่อยในปี 2010 อย่าง Predators อีกทั้งยังมี easter egg จากภาพยนตร์เรื่องก่อน ๆ
ของแฟรนไชส์สอดแทรกเข้ามาได้อย่างแยบยล (ตัวอย่างเช่น ฉากที่ Taabe พี่ชายของ Naru ถูกกรีดที่หน้าอก ก็ทำให้นึกย้อนถึงฉากที่ Billy กรีดหน้าอกตัวเองใน Predator ภาคแรก)
รีวิวหนัง Prey บทสรุป
ถือว่าน่าเสียดายที่การกลับมาอย่างสมเกียรติของจักรวาล Predator ในครั้งนี้ไม่ได้เฉิดฉายบนจอภาพยนตร์ ด้วยสุนทรียภาพจากธรรมชาติอันตระการตา
ดีไซน์ของพรีเดเตอร์ที่น่าเกรงขาม และความระทึกของฉากไล่ล่าที่คงจะเป็นประสบการณ์ชมภาพยนตร์บนจอใหญ่ที่คุ้มค่าและอิ่มเอมใจไม่ใช่น้อยเลยล่ะค่ะ
และที่คนอาจจะคาดหวังไว้คือฉากทิ้งท้ายตามสูตรพรีเดเตอร์แทบทุกภาค ตัวหนังมีเหมือนไม่มี เพราะใช้ภาพวาดเป็นภาพนิ่งเล่าเรื่องทั้งหมดเหมือนเป็นภาพเขียนติดผนังถ้ำลำดับเหตุการณ์ ก่อนมีตอนท้ายต่อจากตอนจบของนางเอกเท่านั้น
ถือเป็นพรีเดเตอร์ภาคที่ดีรองจากภาคแรกจริงๆ สมคำเล่าลือ แต่ว่าก็ยังไม่ได้ดูดิบหรืออันตรายเท่ากับภาคแรก ออกจะเป็นภาคบู๊กันตัวๆ ที่มันส์กว่าภาคแรกมากกว่า
ไม่ใช่การหลบซ่อนสู้กันเลย เพราะสู้กันจะๆ ทุกฉาก ซึ่งสนองแฟนๆ พรีเดเตอร์ได้แน่นอน และยังมีธีมอินเดียนแดงกับคนขาวที่สอดแทรกเข้ามาเนียนๆ กับเรื่องได้ดีเลย
ความรู้สึกหลังรับชม
สำหรับภาพยนต์เรื่องนี้ ถือได้ว่าเป็นสูตรสำเร็จตามเดิมของแฟรนไชส์หนังพรีเดเตอร์ที่มีมาตั้งแต่ภาคแรกในปี 1987
ที่นับมาจนถึงตอนนี้เราก็อยู่กับเจ้าเอเลี่ยนต่างดาวมานานถึง 4 ทศวรรษกันแล้ว และในปี 2022 กลับพาเราย้อนไปไกลกว่านั้นทำให้เราได้รู้ว่าแม้แต่ชนเผ่อินเดียนแดงก็ยังไม่พลาดกลายเป็นเหยื่อของพรีเดเตอร์ด้วยเช่นกัน
งานภาพของเรื่องนี้ทำออกมาได้ค่อนข้างมืดหม่นพอสมควร ด้วยความที่ให้ Mood & Tone ของภาพ รวมกับบรรยากาศในป่า ทำให้หลาย ๆ คนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้มีความอึดอัด บรรยากาศที่ไม่น่าไว้ใจ เพราไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างในฉากต่อไป
ในด้านของตัวละครอย่าง Naru ที่รับบทโดย แอมเบอร์ มิดธันเดอร์ ซึ่งตามสไตล์ของผู้กำกับ แดน แทคเทินเบิร์ก ที่มักจะเลือกดารานักแสดงที่ยังไม่มีชื่อเสียงมานักมารับบท กลายเป็นว่า Naru นางเอกของเรื่องกลัทำได้ดีเกินคาด ทั้งการแสดงความกลัว แต่ก็ยังมีสายต่อของนักสู้อยู่เสมอ ทำให้หนังเรื่องนี้อาจแจ้งเกิดเธอเลยก็ได้
สำหรับตัวเอกอีกตัวอย่าง Predator ในภาคนี้ยังไม่มีข้อมูลอะไรมากกับเอเลี่ยนต่างดาวตัวนี้ แต่ดูจาสไตล์การต่อสู้ที่โผ่งผาง ไม่ซับซ้อน ทำให้เดาได้ว่านี้อาจจะอยู่ในช่วงของ Un-Blood ไปจนถึง Blooded พรีเดเตอร์ยศที่ยังไม่สูงมากนักนั่นเอง
โดยส่วนตัวแล้วนักเขียนขอให้คะแนน รีวิว Prey 2022 ไว้ที่ 8 เต็ม 10 คะแนน เพราะอย่างที่บอกว่าด้วย Mood ของหนังที่มันดูหม่น ๆ ประกอบกับบรรยากาศในป่าที่ไม่น่าไว้ใจ มันทำให้คนดูรู้สึกต้องตื่นตาอยู่เสมอ
การที่ทางทีมผู้สร้างไม่เลือกที่จะเดินหน้าสร้างเนื้อเรื่องที่เดินหน้าต่อ แต่กลับเลือกที่จะพาเราย้อนกลับไปในสมัยสงครามอินเดียนแดง เป็นอีกหนึ่งความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้
เพราะหลังจากออกทะเลไปนาน การย้อนกลับมาทำหนังในยุกเก่า ๆ ก้ถือเป็นอีกหนึ่งจุดพักเบรค ให้คนดูได้กลับมาดู Predator ด้วยฟิลลิ่งหนังปี 1987
ในส่วนของฉากแอคชั่น ต้องบอกเลยว่า Predator ตัวนี้นั้นเลือดร้อนสุด ๆ ไม่มีความใจเย็นใด ๆ ทั้งสิ้นฉากแอคชั่นที่เห็นจึงเป็นอะไรที่ตรงไปตรงมา
สู้เป็นสู้ประกอบกับนางเอกอย่าง Naru หญิงแกร่งที่เธอเองนั้นก็สู้สุดใจ แม้ว่าในเวลานั้นอาวุธของชนเผ่าจะแทบสู้ไม่ได้ แต่เธอนั้นก็ให้มันสมองในการสู้ ทำให้คู่นี้เป็นอีกคู่จิ้นสุดโหดจริง ๆ