รีวิวหนัง Indiana Jones and the Dial of Destiny อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา

อินเดียน่า โจนส์ กับวงล้อแห่งโชคชะตา

รีวิวหนัง Indiana Jones and the Dial of Destiny มาในวันนี้มาพบกับรีวิวหนังแฟรนไชส์ Indiana Jones เป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ที่คอยสร้างความตื่นเต้นและความสนุกให้กับผู้ชมมาอย่างยาวนาน และสามารถเข้าถึงคนทุกช่วงอายุ นั่นเป็นเพราะฉากต่อสู้ที่น่าตื่นเต้น ข้อคิดที่สร้างความตื่นเต้น การผจญภัยที่น่าติดตาม

แต่ในที่สุด เขาก็กลับมา แฮริสัน ฟอร์ด มารับบทนำเป็นลุงอินดี้ นักโบราณคดีผู้โด่งดังอีกครั้ง หนังมีชื่อไทยว่า ‘อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา’ ที่เตรียมเข้าโรง 28 มิถุนายนนี้ นี่คือหนังอินเดียน่า โจนส์ ภาคที่ 5 ที่ยังคงได้ โดยมี เจมส์ แมนโกลด์ ที่เคยฝากผลงานไว้ใน ‘Ford v Ferrari’ และ ‘Logan’ มานั่งแท่นเป็นผู้กำกับภาพยนตร์และร่วมเขียนบท ช่องทางการรับชม ดูหนังออนไลน์

มนต์ขลังที่เริ่มจางหาย..แต่ก็ยังคงอยู่ตลอดไป

อินเดียน่า โจนส์ กับวงล้อแห่งโชคชะตา

รีวิวหนัง Indiana Jones หนังอินเดียน่า โจนส์แห่งปี 2023

หากพูดถึงแฟรนไชส์หนังแอ็กชันผจญภัยอินเดียนา โจนส์ (Indiana Jones) ที่ถูกกำหนดให้มีอายุกว่า 42 ปีแล้ว ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาในยุคที่ผ่านมาเป็นเวลานานกว่านั้น แต่ยังคงมีความนิยมและความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเรื่องน่าทึ่งในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และบันทึกภาพยนตร์ในฮอลลีวูด

แฟรนไชส์ Indiana Jones เป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ที่คอยสร้างความตื่นเต้นและความสนุกให้กับผู้ชมมาอย่างยาวนาน และสามารถเข้าถึงคนทุกช่วงอายุ นั่นเป็นเพราะฉากต่อสู้ที่น่าตื่นเต้น ข้อคิดที่สร้างความตื่นเต้น การผจญภัยที่น่าติดตาม และบทบาทของ Harrison Ford ที่มีเสน่ห์และความโดดเด่น

ความสำเร็จและความคงทนของแฟรนไชส์นี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย อาทิ แรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ที่มากมายของผู้สร้างรายละเอียดของเรื่องราว

การกำกับและนำแสดงที่มีคุณภาพ เช่น จอร์จ ลูคัส (George Lucas) ผู้สร้างและเขียนเรื่องราวของ Indiana Jones และสตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg)

ผู้กำกับที่มีวิสัยทัศน์ที่น่าติดตาม และแฮร์ริสัน ฟอร์ด (Harrison Ford) นักแสดงที่เต็มไปด้วยความสามารถที่ไม่มีใครแทนที่จะมาเล่นบทอินเดียนา โจนส์ได้เช่นเดียวกัน

อินเดียน่า โจนส์ (Harrison Ford จากภาพยนตร์เรื่อง ‘Star Wars: Episode VII – The Force Awakens’ และ ‘Ender’s Game’)

การคงรูปแบบเดิมของแฟรนไชส์นี้อาจเป็นอย่างสำคัญในการสร้างความสำเร็จเนื่องจากความน่าสนใจและความท้าทายที่กำกับมาในเรื่องราว

อาจจะมีความหวังที่ผู้ชมจะได้พบกับอิตอาลิคส์และความตื่นเต้นในการตามล่าสมบัติโบราณ เรื่องราวของอินเดียนา โจนส์ยังคงเป็นเรื่องที่สามารถติดตามและคาดการณ์เนื้อหาในทุกภาคได้ตลอดเวลา

ดังนั้น แฟรนไชส์ Indiana Jones เป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ที่มีความคงทน ไม่ว่าจะเป็นในเชิงความนิยม การสร้างสรรค์เนื้อหา หรือการกำกับและนำแสดง และยังคงเป็นที่น่าติดตามอย่างใกล้ชิดในวงกว้างของผู้ชมจากทุกวัยและกลุ่มเป้าหมาย

เรื่องย่อ

หนังใหม่แนะนำ  เรื่องราวในภาคใหม่ของ Indiana Jones เรื่องย่อ จะเป็นการเล่าเรื่องราวของอินเดียนา โจนส์ในยุคใหม่ และเขากำลังเตรียมตัวสู่การเกษียณอย่างใกล้ชิด

แต่เมื่อปีศาจตนเดิมกลับมาในรูปแบบของตัวคู่ปรับเก่า อินเดียนาต้องกลับมาสวมหมวกและฟาดแส้ของเขาอีกครั้ง เพื่อปกป้องวัตถุโบราณที่มีพลังอันทรงพลังที่ไม่สามารถได้ตกอยู่ในมือของคนชั่ว โดยต้องพยายามหาทางปรับตัวเข้าสู่โลกใหม่ที่ใหญ่เกินกว่าเขาไปแล้ว

ในภาคใหม่นี้ สตีเวน สปีลเบิร์ก ผู้ที่เป็นผู้ริเริ่มสร้างตำนานของ Indiana Jones และเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างเรื่องราว ไม่ได้กลับมานำแสดงในหน้าที่เดิม

แต่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างเรื่องราวในภาคใหม่อย่างเป็นส่วนตัว และได้ทำการส่งมอบทีมผู้กำกับใหม่ให้กับ James Mangold ผู้ที่มีความสามารถและประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมในการสร้างภาพยนตร์ โดยหวังว่าจะสร้างความต่างให้กับแฟรนไชส์หนังชุดนี้

รีวิวหนัง Indiana Jones and the Dial of Destiny

การมี James Mangold เป็นผู้กำกับใหม่ของ Indiana Jones อาจจะนำเสนอแนวทางใหม่ในการสร้างเรื่องราว หรือสร้างความตื่นเต้นที่แตกต่างจากภาคก่อนๆ

เพื่อนำเสนอความสนุกและความตื่นเต้นให้กับผู้ชมในยุคใหม่ที่มีความคาดหวังสูง อย่างไรก็ตาม แฟรนไชส์ Indiana Jones ยังคงมีพื้นฐานและแฟนคลับที่มากมาย

และการสร้างเรื่องราวใหม่นี้อาจจะเป็นโอกาสที่ดีในการผจญภัยต่อไปสู่เส้นทางใหม่ของอินเดียนา โจนส์ในโลกภาพยนตร์ยุคใหม่

พล็อตเรื่องและนักแสดงนำ

ภาพยนตร์ชื่อ “Indiana Jones and the Dial of Destiny” หรือในชื่อไทยว่า “อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา” ได้รับการกำกับโดย James Mangold

และมีการเขียนบทโดย Jez Butterworth, John-Henry Butterworth, David Koepp, และ James Mangold

เรื่องราวในภาพยนตร์นี้ได้นำเสนอความต่อเนื่องของการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นและน่าสนุกของ Indiana Jones ในยุคใหม่ขณะที่เขากำลังเตรียมตัวสู่การเกษียณ

แต่เมื่อปีศาจตนเดิมกลับมาในรูปแบบของตัวคู่ปรับเก่า อินเดียนาต้องกลับมาสวมหมวกและฟาดแส้ของเขาอีกครั้งเพื่อปกป้องวัตถุโบราณที่มีพลังอันทรงพลังในมือของคนชั่ว

รีวิวหนัง Indiana Jones and the Dial of Destiny

ในภาพยนตร์นี้ นอกจาก Harrison Ford ที่กลับมารับบท Indiana Jones นักแสดงนำ อีกครั้งแล้ว ยังมีนักแสดงอื่นๆ เช่น Phoebe Waller-Bridge, Karen Allen, และ Mads Mikkelsen ที่มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้างประสบการณ์และอาชีพนักแสดงในภาพยนตร์นี้

“Indiana Jones and the Dial of Destiny” เป็นภาพยนตร์ที่จับตามติดใจผู้ชมด้วยแนวแอ็คชั่นและผจญภัย และได้รับเรท PG-13 ความยาวในการฉายประมาณ 154 นาที

ภาพยนตร์นี้ผลิตและจัดจำหน่ายโดยบริษัท Walt Disney Pictures, Lucasfilm, และ Paramount Pictures และมีการเข้าฉายในประเทศไทยในวันที่ 28 มิถุนายน 2023

ฉากที่ประทับใจในภาพยนต์

แน่นอนว่าหนัง อินเดียน่า โจนส์ ซับไทย จะขาดฉากแอ็กชั่นไปได้ไง ซึ่งการผจญภัยในหนังภาคนี้ก็ดูสนุกดี โดยเฉพาะฉากขับรถไล่ล่าที่ดูตื่นเต้นใช้ได้ ปัญหาคือ

ฉากยิงกันหรือต่อยกันส่วนใหญ่ภาพจะค่อนข้างมืดมาก แถมยังตัดสลับไปมาจนดูไม่ค่อยออกว่าเกิดอะไรขึ้นบนหน้าจอ

ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหนังต้องการจะกลบสภาพของแฮริสัน ฟอร์ด ที่เริ่มบู๊ไม่ค่อยไหวรึเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือมันทำให้ดูแล้วรู้สึกได้เลยว่านี่ไม่ใช่อินเดียน่า โจนส์ ภาคที่พ่อมดฮอลลีวูดอย่างสตีเวน สปีลเบิร์ก เป็นผู้กำกับ

รีวิวหนัง Indiana Jones and the Dial of Destiny

ส่วนฉากย้อนอดีตที่ทำให้เราเห็นหน้าแฮริสัน ฟอร์ด ในวัยหนุ่มช่วงต้นเรื่อง ซึ่งหลายคนอาจกังวลว่าจะขัดตามากๆ ก็ดูไม่ได้ผิดปกติอะไรนะ ถึงจะมีบางซีนที่ดู CG ไม่เนียนกริ๊บบ้าง

หรือเสียงลุงฟังดูแก่กว่าหน้าไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับความบันเทิงบนหน้าจอ ตัวปัญหาตัวจริงคือจังหวะการเล่าเรื่องของ Dial of Destiny มากกว่า ที่ดูกระอักกระอ่วน

ยึกๆ ยักๆ ตลอดเวลา ทำให้ตอนดูรู้สึกว่าหนังไม่ค่อยเพลิน แถมหนังที่ยาว 2 ชั่วโมงกว่าก็ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกที่ว่าหนังมันยืด

จนหลายครั้งก็แอบรู้สึกเบื่อทั้งที่มีเหตุการณ์ผจญภัยมากมายเกิดขึ้นตรงหน้า นอกจากนี้ หนังยังไม่ค่อยตลก ถึงตลอดเรื่องจะมีมุกเปิ่นๆ เอาไว้ให้ขำหึเป็นระยะ

แต่มันก็ไม่ใช่มุกบ๊องๆ น่ารักๆ ที่ทำให้เราปล่อยก๊าก ซึ่งเป็นเหมือนกับลายเซ็นของ หนังอินเดียน่า โจนส์

จุดที่เซอร์ไพรส์มากก็คือวายร้ายตัวใหญ่สุดของภาคนี้กลับไม่ใช่คุณ Mads Mikkelsen แบบที่หนังโฆษณา แต่มันคือวายร้ายที่ชื่อว่า “ความสมเหตุสมผล” ของเรื่องต่างหาก

เพราะสรรพสิ่งใดๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้แทบไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับเลย ก็เข้าใจแหละว่านี่มันคือหนังผจญภัยตามล่ามหาสมบัติ

แต่ก็ต้องทำให้เหตุการณ์ในเรื่องมันมีคำอธิบายที่เข้าท่านิดนึง ไม่งั้นคนดูเขาจะปะติดปะต่อเรื่องแล้วสนุกไปกับหนังได้ไง

รีวิวหนัง Indiana Jones บทสรุปเรื่องราว

แน่นอนว่า ด้วยความที่มันห่างจากภาคอื่น ๆ มาเกือบ 2 ทศวรรษ พอมาถึงภาคนี้ มันก็เลยมีความน่าห่วงในหลาย ๆ จุด ทั้งภาคที่แล้วที่โดนวิจารณ์พอสมควร ความสดใหม่ของเรื่องราว การเปลี่ยนมือผู้กำกับที่อาจจะเอาไม่อยู่กับหนังบล็อกบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์

(ระดับสปีลเบิร์กเลยเชียวนะ) ที่ภาคนี้ใช้ทุนสร้างมากถึง 295 ล้านเหรียญ สูงที่สุดจากทุกภาค และสูงเป็นอันดับ 11 ของหนังทุนสร้างสูงสุดตลอดกาล และสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ก็คือ

ลุงฟอร์ดที่เป็นหน้าตาของแฟรนไชส์นี้จะยังสู้ไหวไหมกับหนังแอ็กชันผจญภัย (เพราะภาคที่แล้วก็แอบเริ่มเห็นลุงเหนื่อย ๆ อยู่เหมือนกัน)

ซึ่งสิ่งที่จะว่ามันเป็นปัญหาหรือจุดแข็งก็ได้ของภาคนี้ก็คือ แม้จะมีความพยายามวางเรื่องราวใหม่ ๆ ขึ้นมา และพยายามเพิ่มอะไรที่ไม่เคยเพิ่มมาก่อนในภาคอื่น ๆ ทั้งงานสร้างที่ฟอร์มยักษ์ขึ้น อลังการขึ้น ใช้งานวิชวลเอฟเฟกต์หนักหน่วงกว่าทุกภาค

รวมทั้งการเพิ่มฉากแอ็กชันที่เล่นใหญ่เร้าใจกว่าเดิม ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของภาคนี้เลยแหละ ที่แมนโกลด์สามารถทำฉากแนวไล่ล่าให้ออกมายิ่งใหญ่ ระทึกสมจริง ผสมผสานกับมุกสนุก ๆ ตามรายทาง แล้วพอในภาคนี้ด้วยความที่มันมาคาบเกี่ยวกับช่วงที่ปู่ฟอร์ดเองก็เข้าวัยชรา

รีวิวหนัง Indiana Jones and the Dial of Destiny

แม้เบื้องหลังจะมีฉากที่ปู่เล่นแอ็กชันเอง แต่ตัวหนังก็เจ๋งตรงที่ไม่ได้พยายามจะบังคับให้ปู่ลากสังขารแอ็กชันอย่างเดียว

แต่ใช้วิธีแบ่งพาร์ตเล่าเรื่องให้ปู่ฟอร์ดกลายเป็นอาจารย์วัยเกษียณเชย ๆ เน้นดราม่าตามวัย กับแสดงฉากแอ็กชันแบบที่ไม่ต้องลงแรงมาก ซึ่งเอาเข้าจริง คนวัย 82 ออกแรงได้ขนาดนั้นก็ถือว่าน่าทึ่งมาก ๆ แล้วล่ะ ส่วนพาร์ตในวัยหนุ่มที่ต้องแอ็กชันดุ ๆ

ก็ให้สตันท์เล่นแทนไป ซึ่งแม้งานวิชวลทั้งการเนรมิตปู่ฟอร์ดวัยหนุ่ม รวมทั้งวิชวลจุดอื่น ๆ ในองก์แรกจะไม่ค่อยสมบูรณ์นัก แต่โดยรวมก็ถือว่าไม่แย่ ทำออกมาได้สนุกตื่นเต้นเร้าใจเกินคาด

อีกจุดที่ผู้เขียนมองว่าแปลกกว่าทุกภาค นั่นก็คือความพยายามจะผูกเนื้อเรื่องเข้ากับประวัติศาสตร์จริง ๆ เสียทีครับ เพราะภาคก่อน ๆ ทั้งสมบัติล้ำค่า และเกร็ดประวัติศาสตร์ที่อ้างอิงจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์จริง ๆ ในโลก

ที่ล้วนถูกเล่าผ่านปากของอินดี้ในเชิง Trivia เฉย ๆ ที่เหลือก็เป็นพวกฉากแอ็กชันและการไขปริศนาเฉย ๆ แต่ภาคนี้ตัวหนังให้เวลาและดูใส่ใจกับการไขปริศนาในเชิงสืบสวนสอบสวนที่ร่วมสมัยกว่า และเป็นประวัติศาสตร์ที่เราคุ้นหูคุ้นตาอยู่แล้ว

โดยเฉพาะชื่อของอาร์คีมีดีส และกลไกแอนติไคเธอรา ซึ่งเป็นเครื่องคำนวณทางดาราศาสตร์ที่มีการค้นพบจริง ๆ ทำให้ภาคนี้ดูมีความเป็นกึ่ง ๆ วิทยาการ ผสมวิทยาศาสตร์กว่าภาคก่อน ๆ ที่ดูไกลตัวมากกว่า

ความรู้สึกหลังชม

เสียดายที่ภาคนี้ไม่ค่อยน่าประทับใจตามคำวิจารณ์คนที่รับชมหนังเรื่องนี้แล้ว การผจญภัยและกิมมิกในหนังเป็นสิ่งที่คนหลายคนรอคอยและคาดหวังในหนังเรื่อง Indiana Jones ภาค5 อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม การคาดหวังและความคาดหวังอาจจะเปลี่ยนไปตามทุกคน มีบางครั้งที่ภาคต่อหนึ่งอาจไม่สามารถทำให้ความคาดหวังของแฟนๆ ที่รักหนังให้ครบถ้วน ซึ่งเป็นสิ่งธรรมดาที่เกิดขึ้นในวงการภาพยนตร์

เฮเลน่า (Phoebe Waller-Bridge จากภาพยนตร์เรื่อง ‘Solo: A Star Wars Story’ และซีรีส์ ‘Fleabag’)

อย่างไรก็ตาม อินเดียน่าโจนส์ภาค 5 เป็นหนังที่มีความเป็นตำนานและติดใจผู้ชมมานาน แม้ว่าภาคใหม่อาจจะไม่สามารถเป็นที่น่าประทับใจที่สุดในความเห็นของบางคน

แต่ความเป็นตำนานและความสำคัญของ Indiana Jones ยังคงอยู่ในใจและในวงการภาพยนตร์เป็นอย่างดี

การค้นพบเรื่องราวในช่วงเวลาที่ดีงาม ทำให้แฟนๆ กลับมาพูดเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ต่อไป และความเป็นตำนานของอินเดียน่า โจนส์ อาจจะยังคงนำไปสู่อนาคตในวงการภาพยนตร์อย่างยาวนาน

เพราะการผจญภัยในความจินตนาการและการสร้างสรรค์สามารถเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ที่น่าสนุกและน่าตื่นเต้นได้ทุกครั้ง การใส่แส้และหมวกคาวบอยอาจเป็นสิ่งที่ให้ความรู้สึกเหมือนกลายเป็นตัวละครผจญภัยจริงๆ

และเพิ่มความสนุกในการแสดงออกมาอย่างทันสมัย เพื่อให้คุณสามารถสนุกไปกับการผจญภัยที่ไม่มีขอบเขตได้อย่างเต็มที่! สุดท้ายเราขอฝาก รีวิวหนัง Hypnotic จิตบงการปล้น ภาพยนต์แนวแอคชั่น มันส์ หักมุม เชิญติดตามรับชมได้เลยค่ะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *