รีวิว seoul vibe
หนังใหม่แนะนำ หลายๆคนคงเปรียบเทียบหนังเรื่องนี้กับ Fast แต่สำหรับคนที่รับชมแล้วขอบอกเลยว่าแตกต่างกันอยู่พอตัว วันนี้ผู้เขียนจะพาไปพบกับหนังรถซิ่งสุดมันเหยียบคันเร่งให้สุดแล้วสนุกไปกับ Seoul Vibe ซิ่งทะลุโซล หนังแอ็กชันอาชญากรรมที่จะพาย้อนกลับไปสัมผัสบรรยากาศเกาหลีใต้ในปี 1988 ท่ามกลางมหกรรมกีฬาโอลิมปิกอันยิ่งใหญ่ ยังมีทีมนักแข่งรถสุดเกรียนที่ต้องปฏิบัติการแฝงตัวเพื่อเปิดโปงขบวนการฟอกเงินระดับชาติ เตรียมอุ่นเครื่องไว้ให้พร้อม แล้วดริฟท์ทะลุจอไปพร้อมกันที่ Netflix ดูหนังออนไลน์ ดูหนังฟรี
ส ปอย หนัง หนังซิ่งรถแนวติดตลกของ Netflix เกาหลี เรื่องราวของไอ้หนุ่มที่ไปซิ่งรถเมืองนอกหาเงินผ่านธุรกิจผิดกฎหมาย พอได้กลับมาโซลก็ดันเจออัยการรวบตัวยื่นข้อเสนอให้ทำงานเป็นสายลับเอาผิดแก๊งฟอกเงินขนาดใหญ่ที่มีเส้นสายกับประธานาธิบดีเกาหลี พวกเขาจึงต้องรวมตัวเพื่อนพี่น้องมาทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์
รีวิว seoul vibe
รีวิว seoul vibe ภาพยนตร์โดย Netflix เรื่อง Seoul Vibe: ซิ่งทะลุโซล (Seoul Vibe) ซึ่งกำลังจะพรีเมียร์ให้ได้รับชมกันในวันที่ 26 สิงหาคมนี้ จะพาทุกคนซิ่งย้อนกลับไปในปี 1988 ช่วงที่เมืองหลวงของเกาหลีใต้กำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดงานโอลิมปิกครั้งยิ่งใหญ่ โดยเล่าผ่านเรื่องราวของแก๊งนักซิ่งรถมือดีที่มีสไตล์สุดโดดเด่น ที่ต้องไปพัวพันกับแก๊งอาชญากรระดับวีไอพี อัดแน่นความครบรสตลอดเรื่องทั้งฉากซิ่งรถวินเทจสุดระทึก งานภาพสุดป็อปโดนใจ “วัยโจ๋” และเพลงประกอบที่ชวนให้โยกตาม พร้อมด้วยนักแสดงนำระดับป็อปสตาร์อีกคับคั่ง
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเหมือนหนัง Fast & Furious ฉบับเกาหลี เพราะเนื้อเรื่องคล้ายกันคือ พระเอกเป็นพวกซิ่งรถ และมาทำงานให้ตำรวจ แต่ต่างกันตรงที่หนังเรื่องนี้มันไม่ได้เท่หรือบู๊แบบเดือด ๆ เหมือน Fast แต่มันคือหนังฟามเวอร์ชั่นตลกโปกฮา แถมในหนังก็เป็นยุค 80 ทำให้รถที่ใช้นี่อย่างวินเทจเลย คือเป็นหนังที่เอาไว้ดูแก้เครียด เบาสมอง ในด้านของบทนั้น ส่วนตัวผมมองว่าทำได้ดีระดับนึงเลยนะ แม้ว่าหนังจะเน้นไปที่ความตลกและเฮฮา แต่ก็ยังมีบางช่วงที่แฝงอะไรบางอย่างไว้ ทั้งจุดยืนของอัยการฝั่งพระเอกที่แกดูขำ ๆ แต่ก็มีจุดยืนที่ชัดเจนมาก หรือตัวละครพระเอกที่แม้จะดูชิว ๆ แต่ลึก ๆ ก็ยังเป็นแค่วัยรุ่นที่คิดไม่ค่อยได้ ผมชอบฉากที่พระเอกคุยกับอัยการตอนช่วงท้ายมาก ที่พระเอกเลือกจะหนี เพราะทำไปก็เสี่ยงเปล่า ๆ และเขาบอกว่าเขาสนแต่รถ ไม่ได้สนเรื่องการเมืองบ้าบออะไรหรอก คือซีนนี้เป็นซีนที่ดึงอารมณ์พอสมควร จากตลกมาทั้งเรื่องมาจริงจังเฉย ซึ่งผมก็มองว่ามันทำให้หนังครบรสดี
ไวบ์เกาหลียุค 80 ที่ถ่ายทอดผ่านงานภาพ เพลงป็อป และแฟชั่นฮิปสเตอร์
นอกเหนือจากบรรยากาศของเกาหลีในปี 1988 ที่แฟน ๆ ซีรีส์เกาหลีคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ภาพยนตร์เรื่อง Seoul Vibe: ซิ่งทะลุโซล (Seoul Vibe) ยังมาพร้อมงานภาพสีสันจัดจ้าน ดนตรีแนวฟังก์ที่ให้กลิ่นอายวันวาน และแฟชั่นฮิปสเตอร์ย้อนยุค ซึ่งจะปลุกกระแสยุค 1980 ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง นอกจากนี้ บรรดาคอหนังแอคชั่นยังจะได้พบกับฉากซิ่งรถสุดตื่นตาตื่นใจ โดยจัดเต็มในรูปแบบของรถยนต์ย้อนยุคสุดเท่ เร้าอารมณ์กับฉากซิ่งเบียดบี้กันไปบนถนนที่จะทำให้หัวใจเต้นรัว ผู้กำกับมุนฮยอนซองกล่าวไว้ว่า “ตอนที่เลือกกันว่าจะให้ลักษณะภายนอกรถออกมาแบบไหนดี เราอยากให้ได้อารมณ์ของ ‘ฮิปฮ็อป’ และ ‘เรโทร’ ผสมกัน ผมก็เลยอยากเรียกไวบ์แบบนี้ว่า ‘ฮิปโทร’ ครับ”
เรื่องย่อ
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงปี 1988 เป็นช่วงที่กำลังจะมีมหกรรมเทศกาลโอลิมปิกที่กรุงโซล ดองอุก (ยูอาอิน) ชายหนุ่มที่มีทักษะการขับรถที่ไม่เป็นสองรองใคร เขาเป็นพวกเด็กเกเรและชอบทำเรื่องผิดกฎหมายอยู่บ่อย ๆ หลังจากไปสร้างเรื่องที่ต่างประเทศ เขาก็ได้เดินทางกลับมายังเกาหลี ทว่าหลังจากกลับมาได้ไม่นาน เขาและเพื่อน ๆ กับถูกอัยการเข้าจับกุม แต่ในความโชคร้ายยังมีเรื่องดีอยู่ เพราะอัยการไม่ได้กะมาจับเขาและเพื่อน ๆ เข้าคุกอยู่แล้ว แต่มาเสนองานให้ทำ
โดยจะแลกกับการที่จะลบล้างความผิดให้กลุ่มพระเอกทั้งหมด พร้อมกับจะออกวีซ่าให้เพื่อให้ย้ายไปอยู่ยังอเมริกา ซึ่งงานที่อัยการเสนอให้ก็คือการไปแฝงตัวเป็นคนขับรถส่งของให้กับผู้มีอิทธิพล เพื่อสืบหาหลักฐานมามัดตัวพวกคนร้าย สุดท้ายแล้วเรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยอย่างไร ดองอุกจะสามารถทำภารกิจลับนี้ได้สำเร็จหรือไม่ ทุกคนต้องไปรับชมด้วยตาตัวเอง Seoul Vibe: ซิ่งทะลุโซล รับชมได้แล้วตอนนี้พร้อมพากย์ไทยทาง Netflix seoul vibe พากย์ไทย
ความรู้สึกหลังรับชม
Seoul Vibe เป็นภาพยนตร์ที่โฆษณาตัวเองอย่างหนักเกี่ยวกับพล็อตเรื่อง พาคนดูไปสัมผัสเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้อย่างการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเมื่อปี 1988 เมื่อเซ็ตฉากหลังย้อนยุคมาขนาดนี้จึงส่งผลต่อเนื้อหาสาระที่มุ่งนำเสนอสังคมเกาหลีขณะนั้นซึ่งคาบเกี่ยวระหว่างการสิ้นสุดรัฐบาลทหารของ นายพลชอนดูฮวาน สู่ช่วงเวลาที่ประชาธิปไตยกำลังเบ่งบานภายใต้รัฐบาลของ ประธานาธิบดีโนแทอู ที่มาจากการเลือกตั้ง หนังได้ขมวดความสูญเสียและความร่วมมือร่วมใจของผู้คนออกมาอย่างแยบยล ซ้ำยังเสียดสีบุคคลสำคัญท่านหนึ่งได้เจ็บแสบมากทีเดียว
สิ่งที่น่าประทับใจคือการดีไซน์สภาพสังคมชนิดเก็บครบทุกรายละเอียด American Dream ของกลุ่มวัยรุ่นที่เริ่มแสวงหาความศิวิไลซ์แบบชาวตะวันตกสะท้อนผ่านสไตล์การแต่งตัว ทรงผม แบรนด์ชื่อดังอย่าง Nike และ Adidas ที่เริ่มมีอิทธิพลต่อโลกตะวันออก แนวเพลงฮิปฮอปที่เริ่มฮิตติดหูและนำมาทำเป็นมิกซ์เทป
กระทั่งความนิยมรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดโดยเฉพาะ McDonald’s ที่เพิ่งมาเปิดกิจการสาขาแรกในช่วงโอลิมปิกฤดูร้อน รวมทั้งตึกรามบ้านช่องที่ขับกลิ่นอายปี 1988 ออกมาได้อย่างชัดเจน ถือว่าโลกสมมติที่ทีมเบื้องหลังสร้างขึ้นสอบผ่านฉลุยในการพาเราไปสำรวจบ้านเมืองในยุคนั้น ยิ่งใครเป็นแฟนซีรีส์ Reply 1988 (2015) มาก่อน บอกเลยว่าจะอินกับเรื่องนี้ได้ไม่ยาก
แต่สิ่งที่น่าเสียดายเลยคือ หนังยาวไปนิด คือเรื่องราวมันไม่ได้มีอะไรมากมายเลย ถ้ากระชับให้สั้นกว่านี้คงจะกำลังดีและสนุกมากขึ้น เพราะตอนเริ่มหนังใช้เวลาในการปูเรื่องค่อนข้างนาน และอาจทำให้หลายคนรู้สึกไม่ชอบและไม่อยากดูต่อ แต่พอเล่าเรื่องมาได้ซักพักทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้น มีฉากแข่งรถให้ดู มีการสอดแทรกมุขตลกมาตลอด คือถ้าผ่านช่วงแรกมาได้ก็น่าจะดูได้ยาว ๆ
โดยรวมด้านการดำเนินเรื่องถือว่าอยู่ระดับกลาง ๆ เพราะมีหลายช่วงที่อืดและยืดเยื้อไปบ้าง ต่อมาด้านการแสดง ส่วนนี้ผมไม่ติดอะไรเลย เพราะเรื่องนี้นี่รวมนักแสดงตัวท็อป ๆ มาไว้ทั้งนั้น ทุกคนแสดงได้ดีสมบทบาทหมดเลย ด้านการแสดงไม่มีอะไรจะติ อีกอย่างที่อยากบอกเลยคือ ใครที่เป็นคอหนังเกาหลีอยู่แล้ว ผมมองว่าน่าจะหลงรักเรื่องนี้ได้ไม่ยาก เพราะการเล่าเรื่องหรือมุขตลกมันสไตล์หนังเกาหลีที่เราชื่นชอบกันเลย seoul vibe ซิ่ง ทะลุ โซล พากย์ ไทย
รีวิว seoul vibe
รีวิว seoul vibe หนังที่ดูเหมือนจะเป็นแนวฟาสมันส์ ๆ ตลก ๆ แต่เอาเข้าจริงมันก็ไม่ตลกหรือมีฉากซิ่งรถอะไรได้ขนาดนั้นเลย เรียกว่าแค่เอาไอเดียพล็อตแนว ๆ นั้นมาใช้ แต่ตัวเรื่องเป็นอะไรที่ง้องแง้ง ทำได้ไม่ถึงทางไหนสักทาง
ในแง่ฉากแข่งรถนี่บอกเลยดูตั้งแต่ต้นจนจบเหมือนหนังแทบไม่ได้จะลงทุนทำอะไรให้แปลกใหม่หรือมีความตื่นเต้นได้จริง ๆ เลยสักนิด ตั้งแต่ฉากแรกยันฉากสุดท้ายฉากแข่งรถในเรื่องคือเหมือนหนังทั่วไปที่ทำ ๆ กันมาตลอด ถ้าตัดเกรดก็คงให้ C ไม่ได้มีความดีหรือฉากไหนที่ดูเจ๋งว้าวขึ้นมาเลย เรียกว่าสอบตกกันตั้งแต่ฉากแรก ๆ ก็รู้สึกได้ทันทีว่าหนังไม่ได้มีอะไรอย่างที่ฟาส
แล้วตัวเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครพี่น้องครอบครัวมารวมแก๊งแบบฟาสนี่ก็ยิ่งไปใหญ่ เพราะหนังเหมือนบทแบบเล่นขายของไปวัน ๆ เข้าแก๊งฟอกเงินที่จัดแข่งหานักขับเจ๋งที่สุดในประเทศก็เข้าไปได้ง่ายเหลือเกิน ตัวเรื่องที่ให้มีภารกิจส่งของเป็นรอบ ๆ ก็เหมือนมีไปงั้น ๆ ไม่ได้มีความพีคในภารกิจแต่ละครั้ง ไปเน้นที่ว่าพวกพระเอกได้เงินมาจากการส่งของเยอะจนเริ่มฟุ้งเฟ้อปรนเปรอลืม ๆ ภารกิจไปก็เท่านั้น
โดยมีตัวร้ายบ้าหทารที่เข้มงวดคอยทดสอบหาเรื่องจับผิดให้ดูเครียด ๆ ขึ้นมานิดนึง แต่ด้วยความที่อยากทำหนังโทนตลก สุดท้ายมันก็เลยไม่ได้จริงจังอะไรในเนื้อหานั้นเลย แถมยังไม่ตกลเลยสักนิด ไม่ขำเลยสักฉากตั้งแต่ดูมาจนจบ ไม่ใช่เพราะเส้นลึก แต่มุกมันได้ทำให้ขำเลยจริง ๆ
แถมด้วยความเชยของการย้อนยุคในเรื่องที่พยายามขายกันสุด ๆ ซึ่งก็ไม่รู้จะย้อนยุคไปโยงกับโอลิมปิคปี 1988 เพื่ออะไร เพราะแทบไม่ได้ใช้ประโยชน์จากตรงนี้เลย แล้วการย้อนยุคในเรื่องมันยิ่งทำให้ตัวละครมักทำตัวเฉิ่ม ๆ แต่งตัวเชย ๆ สีสันโทนเรื่องก็ดูเก่าเชยไปอีก รถในเรื่องก็ดูไม่ได้แรงแบบรุ่นใหม่ มันเลยกลายเป็นการย้อนยุคที่ทำให้ตัวเรื่องดูดรอปลงมากกว่าจะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้เรื่องสนุกขึ้น แต่คนเกาหลีเองอาจจะชอบพวกสิ่งของโอลสคูลในเรื่องก็ได้ แต่คนบ้านเราคงไม่ได้อินกับพวกนี้เท่าไหร่นัก เพราะคนละวัฒนธรรมกันเลย แม้จะมีที่บ้าเหมือนกันอย่างพวกรองเท้ากีฬา แต่ก็เป็นกลุ่มเฉพาะทางมาก Seoul vibe asianwiki
สรุป
หากใครคาดหวังความตื่นเต้นเร้าใจ ขับรถไล่ล่าเอาเป็นเอาตายประหนึ่ง Fast & Furious เรื่องนี้อาจไม่ตอบโจทย์ ฉากดริฟต์รถหวาดเสียวยังให้มาน้อยด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นที่เคยผ่านตา ครึ่งแรกเป็นการเล่าถึงที่มาที่ไปของแก๊งกเยดงซูพรีม ขายเสน่ห์ของวัฒนธรรมป๊อปผสานกลิ่นคอมเมดี้เป็นหลัก จนเข้าสู่ครึ่งหลังที่เริ่มเทน้ำหนักไปที่ปฏิบัติการของพวกเขามากขึ้น การไล่ล่าบนท้องถนนช่วงโค้งสุดท้ายต้องบอกว่าเบียวแบบไม่มีอะไรกั้น เต็มไปด้วยความเหนือจริงที่ฉีกทุกกฎของวิทยาศาสตร์ แนะนำว่าให้ดูเอามันส์อย่างเดียวอย่าไปถามหาความสมเหตุสมผล
Seoul Vibe ซิ่งทะลุโซล จึงเป็นภาพยนตร์ที่ต้องการบอกเล่าเรื่องราวความฝันของกลุ่มวัยรุ่นในปี 1988 ผ่านเหตุการณ์สำคัญอันเป็นความภาคภูมิใจของชาวเกาหลีใต้มาจนถึงปัจจุบัน เสียดสีการเมืองและบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมา อุดมไปด้วยวัฒนธรรมป๊อปที่หยิบยกมานำเสนอด้วยรูปแบบ Retro แบบจับต้องได้ เพลิดเพลินและดูง่ายไม่หนักสมองเพราะตลอดระยะเวลาสองชั่วโมงหนังได้ย่อยมาให้เราหมดแล้ว แม้บางฉากบางตอนจะดูเหนือจริงจนเกือบออกทะเลไปบ้าง แต่ความเบียวเหล่านั้นกลายเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเร่งดีกรีให้สนุกตื่นตาไม่น่าเบื่อ สุดสัปดาห์นี้ใครกำลังมองหาหนังสักเรื่องเอาไว้ดูเพื่อผ่อนคลายควมเหนื่อยล้าจากการทำงาน บอกได้คำเดียวว่าเรื่องนี้เหมาะด้วยประการทั้งปวง
พยายามทำให้ดูเหมือนเป็นหนังซิ่งรถจารกรรมแบบฟาสเวอร์ชั่นตลกย้อนยุค แต่กลับไม่ตลก ไม่ลุ้น ไม่มันส์ ไม่ลงทุนฉากซิ่ง ไม่อะไรเลยสักอย่าง แถมความพยายามยัดย้อนยุคให้ดูเชยยังมาทำให้เรื่องไม่น่าดูเข้าไปอีก หนังขายการรวมดาราดัง แต่ก็เท่านั้น เพราะบทกับเนื้อเรื่องมันไม่มีอะไรให้น่าจดจำเลย แต่ถ้าสายเกาหลีดูดาราก็คงพอได้ แต่ถ้าคนทั่วไปนี่ข้ามผ่านเถอะครับ Seoul Vibe movie