รีวิวหนัง Saving Private Ryan (1998) ฝ่าสมรภูมินรก

รีวิวหนัง Saving Private Ryan (1998) ฝ่าสมรภูมินรก

สวัสดีค่ะ และในวันนี้เราจะมา รีวิวหนัง Saving Private Ryan (1998) เซฟวิ่ง ไพรเวท ไรอัน ฝ่าสมรภูมินรก เป็นภาพยนตร์แนวสงครามมหากาพย์สัญชาติอเมริกัน ฉายเมื่อปี ค.ศ. 1998 โดยหนังได้นำเสนอเรื่องราวในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ทำออกมาเรียกได้ว่า หนังใหม่ชนโรง

น่าจะเป็นหนังที่สมบูรณ์ และสมจริงที่สุดแล้วในตอนนั้น หนังได้แสดงถึงภาพสงครามที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉากการยกพลขึ้นบกที่หาดโอมาฮา หนังเก่ายอดนิยม

รีวิวหนัง Saving Private Ryan (1998) ฝ่าสมรภูมินรก

รีวิวหนัง Saving Private Ryan (1998) ฝ่าสมรภูมินรก ผลงานกำกับโดย สตีเวน สปีลเบิร์ก

หนึ่งในผลงานมาสเตอร์พีชของผู้กำกับ สตีเวน สปีลเบิร์ก พ่อมดแห่งวงการฮอลลีวูด และได้มือเขียนบทอย่าง รอเบิร์ต โรแดต

โดยหนังได้ถูกอ้างอิงจากเหตุการณ์ยกพลขึ้นบกหรือวันดีเดย์ ที่นอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกทั้งเรื่องนี้ยังได้ดาราดังมากมายมาร่วมแสดง

ซึ่งหากเอ่ยชื่อไป ทุกคนจะทราบกันดีเลยว่า ฝีมือการแสดงนั้นไม่ธรรมดา อาทิ ทอม แฮงค์ (Tom Hanks), เอ็ดเวิร์ด เบิร์นส์ (Edward Burns), ทอม ไซส์มอร์ (Tom Sizemore),

แบร์รี่ เป็ปเปอร์ (Barry Pepper), วิน ดีเซล (Vin Diesel), จิโอวานนี่ ริบิซี่ (Giovanni Ribisi), อดัม โกลด์เบิร์ก (Adam Goldberg) และ เจเรมี เดวีส์ (Jeremy Davies) ที่เป็นทีมทหาร 8 นาย ที่ครบเครื่อง แม้ตัวละครจะดูเยอะ

แต่นักแสดงทุกคนต่างมีคาแรคเตอร์ของตัวเองที่ชัดเจน พอดูผ่านไปไม่นานก็เริ่มจำได้ และยังได้ แมตต์ เดมอน (Matt Damon) นำแสดงในบทพลหทารไรอัน

และยังมีนักแสดงสมทบเด่นๆอีกมากมาย เช่น ไบรอัน แครนสตัน (Bryan Cranston) ก่อนจะดังเป็นพลุแตกใน Breaking Bad และ ไรอัน เฮิร์สต์ (Ryan Hurst) ในบทนายหทารหูตึง

รีวิวหนัง Saving Private Ryan (1998) ฝ่าสมรภูมินรก

ซึ่งในปี ค.ศ. 1996 ผู้อำนวยการสร้าง มาร์ก กอร์ดอน นำเสนอแนวคิดของโรแดตให้กับพาราเมาต์ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก พี่น้องไนแลนด์ และในที่สุดโครงการนี้ก็เริ่มการพัฒนา ซึ่งผู้กำกับ สปีลเบิร์ก

ในเวลานั้นเพิ่งก่อตั้งดรีมเวิร์กส เขาก็ได้เข้าร่วมโครงการเพื่อมาเป็นผู้กำกับ และคัดดาราเข้ามาร่วมแสดง หลังจากที่นักแสดงได้ผ่านการฝึกฝนภายใต้การดูแลของ เดล ดาย ทหารผ่านศึกเหล่านาวิกโยธินสหรัฐ

การถ่ายทำก็เริ่มต้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1997 โดยใช้เวลาสองเดือน ฉากดีเดย์ของภาพยนตร์นั้นถ่ายทำที่ หาดบัลลินเนสเกอร์, ชายฝั่งเคอร์ราโคล, บัลลินเนสเกอร์ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของ เคอร์ราโคล, เคาน์ตีเว็กซ์ฟอร์ด, ไอร์แลนด์ และใช้ทหารจากกองหนุนของกองทัพไอริชเป็นทหารราบสำหรับการยกพลขึ้นบก 

โดย Saving Private Ryan ได้รับรางวัลมากมาย ได้แก่ รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ใน รางวัลลูกโลกทองคำ, สมาคมผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา, สมาคมผู้กำกับแห่งอเมริกาและรางวัลขวัญใจนักวิจารณ์

อีกทั้งหนังยังได้รับการเสนอชื่อใน รางวัลออสการ์ ทั้งหมด 11 สาขา ในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 71 ได้แก่ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (ทอม แฮงส์), บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม

และชนะเลิศมา 5 รางวัล ได้แก่ สาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ครั้งที่สองของสปีลเบิร์ก), ลำดับภาพยอดเยี่ยม, กำกับภาพยอดเยี่ยม, เสียงยอดเยี่ยมและลำดับเสียงเอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม ซึ่งพลาดรางวัลใหญ่สุดของงานไปอย่างน่าเสียดาย

เรื่องย่อ

สงครามโลกครั้งที่สอง หลังการบุกหาดโอมาฮ่าเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 เสร็จสิ้น กองทัพอเมริกันประสบกับความสูญเสียเป็นอย่างมาก ทหารหลายคนบาดเจ็บ พิการ และล้มตาย ร้อยเอกจอห์น มิลเลอร์ (ทอม แฮงค์) ผู้นำกองทหารกองหนึ่ง ก็พบกับความสูญเสียของผู้ใต้บังคับบัญชาในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน

แต่ในยุทธการยกพลขึ้นบกครั้งนี้ของสัมพันธมิตร นำมาซึ่งความสูญเสียของบุตรชาย 3 คนแห่งตระกูลไรอัน ซึ่งกองทัพสหรัฐได้ส่งจดหมายแสดงความเสียใจให้แก่คุณนายไรอัน

แต่ทว่า ในการพิมพ์จดหมายครั้งนั้น เสมียนผู้พิมพ์พบถึงความสูญเสียของตระกูลไรอันแล้ว 3 คน ซึ่งยังเหลือเพียงบุตรชายคนสุดท้อง

คือ พลทหารเจมส์ ไรอัน (แมตต์ เดม่อน) ที่ตกอยู่ในแนวข้าศึกโดยไม่ทราบชะตากรรม จึงได้รายงานต่อผู้บังคับบัญชา (เดนนิส ฟารีนา) ซึ่งเขาได้ตัดสินใจให้พาพลทหารไรอันกลับบ้านมาอย่างปลอดภัย

รีวิวหนัง Saving Private Ryan (1998) ฝ่าสมรภูมินรก

ภารกิจนำพลทหารไรอันกลับบ้านจึงตกแก่กองกำลังของร้อยเอกมิลเลอร์ ซึ่งมีผู้ใต้บังคับบัญชา 7 คน โดยที่แต่ละคนไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องเสี่ยงชีวิตคนส่วนใหญ่เพื่อชีวิตคนๆเดียวด้วย

ทั้งที่พวกเขาต้องเอาชีวิตรอดจากสงครามอันโหดร้าย ต่างคนต่างค้นหาคำตอบให้กับตัวเอง ว่าเป็นการสู้รบครั้งนี้เพื่อชัยชนะ เกียรติยศ อำนาจและความกล้าหาญของพวกเขา

โดยที่ระหว่างทางพวกเขาต้องประสบกับความสูญเสียเป็นอย่างมาก ซึ่งในท้ายที่สุด หลายคนได้เสียชีวิตรวมทั้งร้อยเอกมิลเลอร์ด้วย แต่ก่อนตาย เขาได้บอกแก่ไรอันว่า ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ซึ่งไรอันได้จดจำและสำนึกในบุญคุณของมิลเลอร์ไปตลอด

พล็อตเรื่อง

หนังมีพล็อตที่น่าสนใจมากๆ และชวนให้คนดูได้ตั้งคำถามในหลายๆเหตุการณ์ ตัวอย่างเช่น พี่น้องไรอันที่ถูกเกณฑ์ไปรบแล้วตายกันเกือบหมด เมื่อคนในระดับสูงรู้เรื่องเข้า

จึงได้มอบหมายภารกิจให้มีการออกเดินทางเพื่อตามหาพลทหาร เจมส์ ไรอัน ที่เป็นคนสุดท้ายของตระกูลออกจากสมรภูมิ เพื่อที่เขาจะได้กลับบ้านเกิดและกลับไปหาแม่

โดยผู้ได้รับมอบหมายคือ ทหารจำนวน 8 คน ที่ต้องฝ่าดงศัตรูเข้าไปยังพื้นที่เป้าหมาย ที่พวกเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพลทหาร เจมส์ ไรอัน ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

ซึ่งตั้งแต่ช่วงต้นของเรื่องคือการตั้งคำถามถึง “คุณค่าของชีวิต” ความสำคัญของมนุษย์ที่มีบริบทแตกต่างกัน การที่ทหาร 8 คนถูกส่งไปช่วยชีวิตคนคนเดียว

ในแง่มุมหนึ่ง เราอาจเข้าใจในเหตุผลได้ดี (เพราะหนังเองก็โน้มน้าวให้เรารู้สึกแบบนั้น) แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง ก็รู้สึกชวนน่าขันไม่ใช่น้อย เพราะชีวิตคนคนเดียวต้องแลกกับชีวิตคนมากถึง 8 คน

หนังใหม่ชนโรง

ซึ่งฟังดูยังไงก็ไม่เท่ากัน คิดยังไงก็ไม่คุ้มค่า เพราะไรอันคือโอกาสเดียวที่แม่เขาจะไม่สูญเสียลูกทุกคนไปในสงคราม แต่ในขณะเดียวกัน ทหารทั้ง 8 นายต่างก็มีชีวิต

และมีคนคอยอยู่เบื้องหลังของตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว คนรัก หรือใครก็ตาม ความขัดแย้งนี้คือคำถามสำคัญที่เกิดขึ้นตลอดเรื่อง และยิ่งเข้มข้นเมื่อเวลาดำเนินไปถึงบทสรุป

แม้ว่าพล็อตของเรื่องจะเป็นการไปตามหาและช่วยชีวิตพลทหารเพียงนายเดียว แต่หลักๆของหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นการให้คนดูได้เห็นความโหดร้ายของสงคราม

ซึ่งรับรองได้เลยว่าหนังจะทำให้คนดูหวาดกลัวสงครามกันไปเลย โดยเฉพาะฉากยกพลขึ้นบกในช่วงต้นเรื่อง หนังทำออกมาได้สมจริง และรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของสงครามจริงๆ

ส่วนการใส่มุขตลกเข้าไปในหนังสงคราม ก็เพื่อให้ธีมของหนังจะไม่หดหู่ หรือกดดันมากจนเกินไป ดูจะเป็นลายเซ็นของผู้กำกับสปีลเบิร์กเลยหรือเปล่านะ เพราะเห็นเขาทำมาหลายเรื่อง และก็ทำได้ดีมากๆด้วย 

จุดเด่นและจุดด้อยของหนัง

ฉากหนึ่งที่ชอบมากๆ คือซีนของ ร้อยเอกจอห์น มิลเลอร์ พูดถึงทหารในหน่วยของเขา ที่เสียชีวิตไปตลอดการรบ เขาบอกว่าเสียคนในหน่วยไปกว่า 90 คน

แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการช่วยชีวิตคนอีกมากมายมหาศาล ซึ่งการมองแบบนั้นทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้น

โดยเฉพาะกับตัวเขาเอง โดยประเด็นนี้พูดถึงมุมมองการเป็นผู้นำอย่างน่าสนใจ และถูกขยี้อย่างรุนแรงในช่วงต่อมาเมื่อเขาาสั่งให้คนในหน่วยบุกโจมตีป้อมปราการที่แม้จะไม่ใช่ภารกิจของตัวเอง แต่ก็เพื่อรักษาชีวิตของหน่วยคนอื่น 

ที่อาจผ่านมาทางนี้ และแน่นอนว่าพวกเขาทำภารกิจสำเร็จ แต่ก็ต้องสูญเสียคนในหน่วยไป ซึ่งนั่นคือราคาที่เขาต้องจ่าย เป็นสมการชีวิตที่เขาก็ต้องชั่งน้ำหนักด้วยตัวเอง

อีกประเด็นที่ชอบคือการพูดถึงตัวตน บทพูดหนึ่งในหนังของร้อยเอกจอห์น มิลเลอร์ กล่าวว่า “ฉันได้รู้ว่าทุกคนที่ฉันฆ่าทำให้ฉันรู้สึกไกลห่างจากบ้านขึ้นทุกที” อธิบายตัวตนของเขาได้ดีมากๆ ในแง่ของการพยายามรักษาความเป็นมนุษย์

ช่วยพยุงชีวิตของตัวเองให้คงเดิม บ้านสำหรับมิลเลอร์คือตัวตนที่เขาจากมา ยิ่งเขาต้องฆ่าใครมากเท่าไหร่ มันยิ่งทำลายตัวตนของเขามากขึ้น ซึ่งหมายถึงตัวตนที่ภรรยาของเขารู้จักด้วย

การได้กลับบ้านจึงไม่ใช่แค่การมีชีวิตรอดอย่างเดียว แต่สงครามคือการเอาชนะ คือความอยู่รอด คือการปกป้องตัวเอง ปกป้องประเทศชาติ

ด้วยการต่อสู้ด้วยการรบราฆ่าฟันกับอีกฝ่าย เขาต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ อย่างน้อย ๆก็ในฐานะที่เขาเคยเป็นอาจารย์ของโรงเรียน

หนังใหม่ชนโรง

และสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้จริงๆ คือฉากรบในตอนท้ายเรื่อง ที่ทั้งยิ่งใหญ่ และทรงพลังกับทางความรู้สึกมากๆ ชอบที่หนังใช้เวลาสร้างอารมณ์มาอย่างยาวนาน ทั้งการเตรียมพร้อมสู่สนามรบ

รวมไปถึงการได้เข้าใจตัวละครอย่างถึงแก่นตลอด 2 ชั่วโมงก่อนหน้า จึงเป็นการต่อสู้ที่เปี่ยมไปด้วยความมนุษย์อย่างแท้จริง

ด้วยทั้งบทภาพยนตร์ และการกำกับ ดูกี่ครั้งก็รู้สึกว่ามันส์ถึงใจมากๆ ชอบตั้งแต่การเซ็ทฉาก ซากเมืองที่ดูใหญ่โตอลังการ ไปจนถึงองค์ประกอบยิบย่อย ที่ทำให้หนังออกมาดูจริงได้ขนาดนี้ คือทั้งฉากเปิดและปิด

ก็อยู่ในระดับท็อปฟอร์มเท่าๆกัน จนแอบคิดไปด้วยซ้ำว่าภาพสงครามโลกครั้งที่ 2 ของใครหลายคนอาจถูกภาพของหนัง Saving Private Ryan เป็นตัวแทนไปแล้วเรียบร้อย

รีวิวหนัง Saving Private Ryan (1998) ฝ่าสมรภูมินรก บทสรุป

แม้ Saving Private Ryan ฝ่าสมรภูมินรก จะเป็นหนังประเภทสงคราม แต่ก็ทำออกมาได้ครบรสหลากหลายอารมณ์ ทั้งตื่นเต้น ลุ้นระทึก มีฉากแอคชั่นสุดมันส์

ที่ชวนลุ้นระทึกอยู่ตลอด เพราะเราไม่รู้เลยว่าจะสูญเสียตัวละครคนไหนไปเมื่อไหร่ ด้วยงานภาพและเสียงชั้นเยี่ยม (จนมีอยู่ช่วงหนึ่งที่หนังมักถูกนำมาเปิดในร้านขายทีวีหรือเครื่องเสียงอยู่แทบจะทุกร้าน

เพราะหนังเหมาะกับนำไปทดสอบภาพและเสียงได้ดีมาก) ส่วนการลำดับฉากลำดับเรื่องราวก็ดึงอารมณ์คนดูได้เป็นอย่างดี จนลากคนดูไปเสียน้ำตากันในช่วงท้ายมานักต่อนักแล้ว ในแง่ความโหดร้ายของสงคราม และความสวยงาม

ความหวังของมนุษย์ก็มีอยู่ครบถ้วนในหนังเรื่องเดียวกัน ด้วยความที่ผู้กำกับ สตีเวน สปีลเบิร์ก ได้ใช้การถ่ายทำหนังตามลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ

หนังใหม่ชนโรง

บรรดาดารารับรู้เรื่องราวไปเรื่อยๆ และอินไปกับเหตุการณ์ได้มากขึ้น ทั้งมิตรภาพที่เกิดขึ้นในระหว่างทางที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงตายมาด้วยกัน

ไปจนถึงการสูญเสียเพื่อนร่วมรบ จนทำให้ผลงานการแสดงของแต่ละคนก็ออกมาโดดเด่น สมจริง

และชวนให้เชื่อในบทบาทของพวกเขาได้มากๆ จนรู้สึกเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของตัวละครได้เป็นอย่างดี เพราะคนดูเองที่เปรียบเสมือนคนที่เดินทางไปกับหน่วยนี้มาตลอดก็จะเริ่มตั้งคำถามในเชิงเดียวกันว่า

ไรอัน มันเป็นใคร เหตุใดถึงสำคัญขนาดต้องเอาชีวิตหลายๆ คนไปเสี่ยงเพื่อช่วยคนๆเดียวขนาดนี้

จนนำไปสู่ฉากขัดแย้งระหว่างทีม และบทสรุปของหนังที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างทรงพลัง จนทำให้ไม่ว่าจะเป็นความบันเทิงก็ออกมาครบรส และมีถ้วยรางวัลมาการันตีมากมาย

แต่ที่น่าเสียดายที่สุดก็คือการที่หนังพลาดรางวัลออสการ์สาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในปีนั้นไปให้กับหนัง Shakespeare in Love กำเนิดรักก้องโลก

ความรู้สึกหลังรับชม

หลังจากที่ดูจบ หนัง Saving Private Ryan ฝ่าสมรภูมินรก เป็นหนึ่งในหนังสงครามที่เราชอบมากๆ ทั้งการเปิดเรื่อง การปูบทตัวละคร เรื่องราวระหว่างทาง ไปจนถึงฉากจบที่ยิ่งใหญ่ทรงพลัง มันคือมาสเตอร์พีชที่สุดในทุกองค์ประกอบ

ซึ่งการกำกับของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นตัวแทนหนึ่งในหนังสงครามที่น่าจดจำที่สุดเรื่องหนึ่งของโลกภาพยนตร์ ไม่ใช่แค่ฉากสงครามช่วงแรก หรือการต่อสู้ตอนท้าย

รีวิวหนัง Saving Private Ryan (1998) ฝ่าสมรภูมินรก

 แต่เรารักงานภาพของเรื่อง รักสกอร์ของเรื่องนี้ รวมถึงการแสดงของ ทอม แฮงก์ ที่น่าจดจำที่สุดเรื่องหนึ่ง นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่ว่าทำไม Saving Private Ryan ถึงได้กลายเป็นตำนาน คนดูที่เป็นคอหนังแนวสงคราม อยากแนะนำเลยว่าไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ขอให้คะแนน 8/10 สำหรับหนังเรื่องนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *