ฉันมี รีวิวSLR ซึ่งเป็นหนังไทยเองเธอ ถือได้ว่าเรื่องนี้เป็นการเสิร์ฟความหลอนต่อเนื่องกันทุกสัปดาห์เลยทีเดียวนะ ซึ่งในล่าสุดติดเทรนด์ฮอตตั้งแต่วันแรกถึงกับมีการ แฮชแท็กชวนดูSLRฉายวันแรก ที่เป็นการปรับโหมดมาสู่ความสะพรึงกลัว เลยก็ว่าได้
ในหนังที่ดูเบื้องต้นจากตัวอย่างแล้ว อาจจะรู้สึกซ้ำซากจำเจ แต่ขอบอกเอาไว้เลยว่า อย่าเพิ่งตัดสินหนังจากเพียงแค่ตัวอย่าง และปิดใจกับหนังเลย เพราะจะว่าไปแล้วหนังเรื่องนี้ก็มีอะไรแอบซ่อนเอาไว้ที่ดีกว่าที่คิดเอาไว้ มีความแปลกใหม่ที่น่าสนใจอยู่นะ
แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานไปสุด ๆ ปนเปอารมณ์ต่าง ๆ เต็มไปหมด แต่ก็พอที่จะเป็นหนังผีไทยที่แตกต่าง มาดูกันว่าเรื่องนี้จะมีความตื่นตาตื่นใจมากแค่ไหน หากท่านมองหาเว็บดูหนังไม่มีโฆษณา สามารถเข้าที่ ดูหนังออนไลน์
รีวิวSLR หนัง ไทย กล้อง ติด ตาย เรื่องราวสุดหลอน แค่ถ่ายรูปก็เสี่ยงตุย
รีวิวSLR เรื่องราวของ แดน
เรามาเริ่มกันที่ SLR เรื่องย่อ เรื่องราวของ แดน นักศึกษาหนุ่มคณะภาพถ่าย ที่สอบธีสิสกับอาจารย์เอมมาเป็นปีแล้ว แต่ยังไม่ผ่านเสียที จนในที่สุด อาจารย์เอมได้ให้กล้อง SLR ให้ถ่ายงานที่ดีที่สุดมาส่ง แดนกำลังจะค้นพบว่า มันเป็นบททดสอบของกล้องปีศาจ
ซึ่งเขาไม่มีทางหนี นอกจากจะต้องเลือกว่าจะยอมตามมัน หรือจะสู้กับมัน และเขากำลังจะลากแฟนและเพื่อนของเขาอย่าง น้ำ และ เกรท เข้ามาร่วมชะตากรรมอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งรายล้อมไปด้วยความตายจากกล้องนรกนี้ด้วย
ซึ่งเป็นผลงานเรื่องนี้เป็นฝีมือของ 2 ผู้กำกับหนุ่มรุ่นใหม่ เลิศศิริ บุญมี กับ วุฒิชัย วงศ์นภดล ที่พวกเขาแทบจะยังไม่มีชื่ออยู่ในวงการหนังไทยหรอก แต่ก็นับว่าเป็นการประเดิมเดบิวต์ผลงานเรื่องนี้ ได้ค่อนข้างน่าพอใจอยู่ในระดับหนึ่ง
เพราะส่วนหนึ่งเป็นการปลุกปั้นผลักดันของผู้กำกับมือฉมัง โขม ก้องเกียรติ ที่มารับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างและที่ปรึกษาให้กับหนังเรื่องนี้ด้วย เมื่อได้ครูที่ดี ผลงานออกมาจึงออกมาได้ในระดับที่พอถูไถไปได้ ถ้าท่านสนใจที่จะรับชมเรื่องนี้อย่าหลาดที่จะเข้าชมที่ ดูSLR
เรื่องนี้มันมีความพิเศษยังไงอะหรอ ก็ที่ถ้าใครได้เห็นทีเซอร์ แน่นอนว่าจะต้องพาให้นึกไปถึงหนังไทยในตำนานอย่าง ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ อะไรประมาณนั้นใช่ไหม แต่บอกไว้เลยว่า หนังเรื่องนี้แตกต่างจากทิศทางนั้นอย่างสิ้นเชิง เดินกันคนละทาง
และมีคอนเซ็ปต์คนละแบบ เพียงแค่ใช้วิชาการถ่ายรูปเข้ามาเป็นองค์ประกอบในการดำเนินเรื่องราวต่าง ๆ เหมือนกันเพียงเท่านั้น โดยหนังเรื่องนี้มีแก่นเรื่องและจุดประสงค์ที่ค่อนข้างแข็งแรงและชัดเจนดี
และถึงแม้ว่าบทหนัง กล้อง ติด ตาย เรื่องย่อ จะยังคงค่อนไม่แน่ไม่นอน ติดอยู่กับปัญหาจุดเดิม ๆ ของหนังไทยที่ยังแก้ไม่หาย บทหนังที่มีแก่นเรื่องหนักแน่นดี แต่ยังไม่กลมกล่อม และใช้วิธีการเล่าเรื่องที่ยังไม่มีกิมมิกลูกเล่นอะไร ที่ดึงดูดความสนใจได้มากเท่าไหร่
เพราะดันไปติดกลิ่นอายความเป็นหนังสยองขวัญทุนต่ำของฝั่งฮอลลิวูดมาปนเปเอาไว้รายทาง จึงพลอยทำให้หนังเกือบ 2 ชั่วโมงเรื่องนี้ มีจังหวะที่ดีปะปนไปกับจังหวะที่ยังไม่ดี ซึ่งถ้าให้ฉันบอกตรง ๆ เลยว่าหนังเรื่องนี้ไม่อะไรที่คาดเดาได้ยากเลย ทุกอย่างปูทาง และเปิดทางเอาไว้ให้คนดูกระจ่างตั้งแต่ตอนปูเรื่อง
ก็พอจะคาดถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปไม่ยากเย็นหนัก แต่การหยิบเอาประเด็นความเชื่อที่ค่อนข้างทะเยอทะยาน แหวกแนวไปจากหนังผีไทยเดิม ๆ ตรงจุดนี้ต้องชื่นชมในกล้าหาญของหนังเรื่องนี้
เพราะนี่อาจจะเป็นประเด็นที่ค่อนข้างไกลตัวคนไทย และอาจจะทำให้คนดูไม่รู้สึกคล้อยตามไปด้วยซ้ำ แต่ถือว่าผู้สร้างมีจุดยืนในเจตนานี้ด้วยดี และได้ปรุงแต่งรสชาติออกมาได้ค่อนข้างแปลกใหม่กับวงการหนังไทย แต่ยังธรรมดา ๆ ไปเหมือนเทียบกับแวดวงหนังสากล ห้ามพลาดที่จะติดตามการรีวิวหนังนอกกระแสสนุก ๆ เรื่องอื่น ๆ ได้ที่ หนังอินดี้มาแรง
เรื่องนี้ทำออกมาได้ดี
ถึงยังไง SLR แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีและน่าสนใจไม่น้อย และสัมผัสได้ถึงความเป็นสากลของตัวหนังทั้งด้านงานภาพ ที่ตัวฉากเปิดเรื่องก็มีการทำกราฟฟิกแบบ ที่ภาพยนตร์ต่างประเทศนิยมใช้กัน หรือแม้แต่ฉากต่าง ๆ ในเรื่องก็มีการจัดวางองค์ประกอบภาพ และใช้สีที่ไปในทางที่สวยงาม จัดจ้านและสื่อความหมายไปพร้อม ๆ กัน
รวมถึงตัวเนื้อหาที่พยายามหลุดออกจากกรอบเดิม ๆ ว่าถ้าเป็นหนังผีแล้วก็หนีไม่พ้นต้องพูดเรื่องศาสนา เรื่องกฏแห่งกรรม ความดีความชั่ว การเวียนว่ายตายเกิด ทำนองนี้ ซึ่งตัวหนังได้ข้ามสิ่งเหล่านี้ และไปพูดถึงประเด็นทางสังคมอย่างฐานะทางสังคม กับการประสบความสำเร็จ การแสวงหาโอกาสการทำงาน ที่แม้จะใส่มาบางเบาและบางอย่างก็บอกกันโต้ง ๆ แต่ก็พอรู้สึกได้ว่าเป็นสิ่งที่ผู้กำกับต้องการสื่อออกมาเหมือนกัน
ในส่วนของงานด้านโปรดักชั่นก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ในแวดวงหนังไทยอะนะ 5555 อย่ามาหาว่าฉันบูลี่นะ ก็กำลังบอกอยู่นี้ไงว่าเรื่องนี้มันดียังไง ทั้งเรื่องศพก็ค่อนข้างสมจริงน่ากลัว หรือสิ่งที่ปรากฏตอนท้ายเรื่อง
ที่แม้ว่าจะเป็น CGI ที่เราเห็นได้ตามภาพยนตร์ทุนต่ำสำหรับต่างประเทศ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นความกล้าหาญ(ตั้งแต่ตัวเนื้อเรื่องแล้ว)ที่นำเสนองานทำนองนี้ออกมามากกว่าจะอยู่ในกรอบเดิมๆเพื่อเพลย์เซฟ กลายเป็นการสร้างทิศทางใหม่ๆ ให้กับวงการภาพยนตร์ของบ้านเรา
และจุดที่คิดว่าหนังยังไปได้ไม่สุดทางก็ยังมีอยู่ ที่เห็นได้ชัดเลย คือ การที่ตัวหนังไม่รู้ว่าจะ เล่นงาน คนดูอย่างไรในช่วงแรกของหนัง เหมือนไม่รู้ว่าตัวเองอยากจะหลอกคนดู ในฐานะหนังผี หรือหนังเขย่าขวัญ อารมณ์หนังจากนิยายสตีเฟ่น คิง กลายเป็นว่าทำได้แค่ใช้จังหวะ จั้มป์สแคร์ หลอกคนดูไปตามทาง
จนนึกว่าเป็นหนังผี slr หนังผี และแล้วเมื่อความจริงเปิดเผยหนังที่มัว แต่หลอกคนดูก็ไม่ได้ปูความเชื่อหรือเหตุผลที่ดีพอจะรองรับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เมื่อเรื่องเปลี่ยนไปอีกขั้วหนึ่ง ในช่วงหลัง หนังจึงไม่มีพลังพอที่จะพาคนดูรู้สึกร่วมไปกับสิ่งเหล่านั้นได้เท่าที่ควร
และยังเป็นผลให้ฉากที่ควรจะพีคที่สุดกลายเป็นไร้ซึ่งความน่ากลัว และดูน่าสงสัยแทนที่ซะอย่างนั้น หรือทั้งตรรกะและการกระทำหลาย ๆ อย่างของตัวละคร ที่ชวนให้รู้สึก เอ๊ะ มันเกิดความสงสัยอ่ะ 555 ที่อยู่ในใจอยู่หลาย ๆ ครั้ง
จุดที่ดูจะขาดหายไปของเรื่อง
กล้อง ติด ตาย และอีกจุดที่ดูจะขาดหายไปโดยที่เป็นการตอบคำถามว่า บางช่วงทำไมเราถึงรู้สึกว่าหนังมันไม่สนุก นั่นคือ หนังเรื่องนี้ไม่มีเนื้อเรื่องรองที่จะมาช่วยเนื้อเรื่องหลักเอาไว้ ยกตัวอย่างง่าย ๆ ในช่วงที่แดนกำลังใช้กล้องถ่ายภาพคน เพื่อทำโปรเจคจบของเขา
แล้วค่อย ๆ สัมผัสกับสิ่งประหลาดที่เกิดขึ้น ในช่วงนี้นอกจากความสงสัยของแดนแล้ว หนังไม่ได้ขับเคลื่อนคนดูไปในทิศทางไหนเลย เหมือนก็ปล่อยให้เราสงสัยเช่นเดียวกับแดนอยู่อย่างนั้น
ซึ่งมันทำให้คนดูเกิดคำถามว่า แล้วยังไงต่อ ไม่ทำอะไรสักหน่อยหรอ ในทำนองประมาณนี้ กลายเป็นหนังดูว่างเปล่าไปเลยในช่วงนี้ แน่นอนถ้ามีหนังเนื้อเรื่องรองที่แข็งแรงมาช่วยพยุงไว้ก็น่าจะดีขึ้นกว่าปล่อยให้คนดูลุ้นแต่เพียงว่า เมื่อไหร่ผีจะทะลุกล้องมาสักที อันนี้บางทีมันก็เกิดความหงุดหงิดนะ
และสิ่งที่ควรจะมีเพิ่มอย่างความสัมพันธ์ของตัวละครหลักทั้งสามคน ก็กลับหายวับไป เมื่อเรื่องเข้าสู่จังหวะสำคัญ ทั้ง ๆ ที่มีการพูดถึงสถานะของทั้งสามคนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เอามาใช้เป็นประโยชน์ เหมือนกลัวว่าเรื่องจะเสียสมดุลก็เลยตัดมันทิ้งดื้อ ๆ เลยซะอย่างนั้น เลยมีผลต่อให้ทุกตัวละครในเรื่องดูแบนแล้วก็ไม่ค่อยมีมิติสักเท่าไหร่นัก
แต่ทางด้านนักแสดงที่เน้นไปในคนรุ่นใหม่เริ่มจาก นนน กรภัทร์ ที่สอบผ่านในการเล่นภาพยนตร์ รีวิวกล้อง ติด ตาย ครั้งแรก อาจจะไม่ถึงกับดีเลิศ แต่พลังในการแสดงของเขาก็ ทำให้คนดูลุ้นเอาใจช่วยได้เหมือนกัน ทางด้านเฌอปราง อารีย์กุล ที่เคยผ่านงานก่อนหน้าอย่าง โฮมสเตย์ มา อาจจะรู้สึกว่าไม่ได้โชว์ทักษะทางการแสดงมากไปกว่าเดิมเท่าไหร่
แม้จะเปลี่ยนมาเป็นคาแรคเตอร์ที่ดูจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นก็ตามที ส่วน นนท์ ศดานนท์ ที่ครั้งนี้เป็นงานเรื่องที่สามแล้ว แม้จะเป็นตัวละครสมทบ แต่ก็สามารถแสดงความโดดเด่นออกมาได้เป็นอย่างดี และคนที่สร้างความไม่น่าไว้ใจให้กับเรื่องมากที่สุดคงหนีไม่พ้น นักแสดงประสบการณ์สูงอย่าง อ้น นพพันธ์ ที่แฝงความอันตรายและน่าสะพรึงกลัวเอาไว้ผ่านใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย เข้ากับคำพูดที่ว่า หวังดีประสงค์ร้าย จริง ๆ
ผู้กำกับเลิศศิริ บุญมี
ไหน ๆ ฉันก็พูดถึงเรื่องนี้ กล้อง ติด ตาย ผู้กำกับ เยอะมากก กอไก้ ล้านตัว เผื่อมีคนอยากจะรู้เกี่ยวกับผู้กำกับสองคนนี้บางเพราะพวกเขาไม่ค่อยมีชื่อเสียงเท่าไหร่หรอก ซึ่งพวกเขา เลิศศิริ บุญมี กับ วุฒิชัย วงศ์นภดล ฉันค้นหาประวัติของพวกเขาไม่เจอ แต่ ๆ ฉันเจอแนวคิดขอพวกเขา่าการส้รางเรื่องนี้มาจากอะไร
เราเริ่มที่คนแรก ผู้กำกับ มาร์ค หรือ เลิศศิริ บุญมี ใน จุดเริ่มของ SLR ทราบว่ามาจากมาร์คเลย เขาบอกว่า ผมเป็นคนชอบดูหนังตั้งแต่ยังเด็กเลย ติดตามทุกแนว ผมเรียนจบด้านฟิล์มที่ New York Film Academy จนตอนกลับมาทำงานที่เมืองไทยได้มีโอกาสเจอ คุณเอ็ด เป็นคนรักหนังเหมือนกันจนเกิดภาพยนตร์เรื่องแรกอย่าง หลง ฉายทางทรู ออริจินอล เมื่อปี 2012
และจาก หลง มาสู่ กล้อง ติด ตาย นักแสดง ในระยะเวลาค่อนข้างนาน ทำไมถึงยังใจจดใจจ่อกับเรื่องนี้ ในระหว่างที่รอการทำหนัง ผมก็ทำงานทั่วไปของผมอยู่เรื่อย งานหนังเป็น Passion คนอื่นอาจเอาเวลาว่างไปปาร์ตี้หรือทำอย่างอื่น แต่สำหรับผมและเอ็ดเราหลงใหลงานภาพยนตร์ เป็นความสุขของเราจริง ๆ ถ้าเราไม่ทำก็จะคาใจไปเรื่อย ๆ
และส่วนใหญ่เขาจะเจอคำถามที่ว่า ทำไมเรื่องที่ 2 ถึงเลือกทำแนวสยองขวัญ เขาตอบว่า ผมอยากเสนออะไรที่อยู่ในประเภทสยองขวัญที่ไม่ใช่แนว ทั่วไป หรือ ซ้ำซาก ก็เลยอยากเสนอไอเดียการทดสอบตัวเอง อาจมีเรื่องของการสะท้อนในสิ่งที่ตัวเองต้องการอะไรรวดเร็ว take shortcut หาทางลัดในชีวิต แต่เรามาในรูปแบบของกล้อง SLR ที่จะมาขโมยชีวิตของคุณไป
ในส่วนของนิยามของ SLR
ก็ตรงตัวเลยคือ Single Lense Reflex ใช้กล้อง SLR ตัวผมเจอเรื่องนี้ด้วยตัวเองคือ อาม่าไม่ยอมให้ผมถ่ายรูปในงานแต่งงาน ท่านให้เหตุผลว่าเดี๋ยวพลังของฉันจะหาย ตอนนั้นเราก็ตกใจว่าฉันทำอะไรผิด
แต่ความเชื่อก็คือความเชื่อ มันอาจดูดพลังไปได้ ผมกับเอ็ดเลยมานั่งคิดกันว่าถ้าเราคิดในเชิงวิทยาศาสตร์ กล้องก็คือกล่อง ๆ หนึ่งที่เก็บภาพ ภาพคือแสง แสงคือพลัง แสดงว่าพลังของเราส่วนหนึ่งได้ถูกเก็บในแผ่นฟิล์มไปแล้ว เลยมาเป็น SLR กล้องที่สะท้อนตัวเองเข้าไปและไปเก็บในฟิล์ม
และทำไมถึงเลือก นนน/เฌอปราง,ศดานนท์ และ อ้น มาเล่นเรื่องนี้ แต่ก่อนจะได้ 4 คนนี้ ผมเจอนักแสดงหลายสิบชีวิตที่เก่งแตกต่างกันไป แต่สุดท้ายแล้วมาลงที่ 4 คนนี้ ผมตั้งสถานการณ์สมมติให้พวกเขาเล่น เอากล่อง ๆ หนึ่งให้เขาเลือกว่าคุณจะตายหรือไม่ตาย
ซึ่งแต่ละคนก็มีความกระตือรืนร้นที่จะทำให้ได้ ผมได้เห็นการแสดงจริงของแต่ละคน อย่าง ศดานนท์ โชว์ออกมาแบบแนวตลกร้าย เขามอบอะไรให้เราได้เห็นโดยที่คาดไม่ถึงว่าเขาจะแสดงออกมาได้ และลองเล่นอีกแบบให้เราดูด้วย เขาสมควรแล้วที่จะได้รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากเวทีสุพรรณหงส์
และขณะที่เฌอปรางได้เห็นว่าเขาปล่อยให้ศดานนท์และนนนพูดไปก่อน แต่เขาไตร่ตรองอยู่ว่าจะทำยังไง แล้วพอเขาพูดออกมาดูมีน้ำหนัก ซึ่งผมกับเอ็ดก็พูดกันว่าเฌอปรางเหมาะมาก เพราะเขาเป็นที่จะต้องคอยช่วยให้ แดน ที่แสดงโดย นนน
โดยหลุดพ้นจากหายนะครั้งนี้ คาแร็คเตอร์ของ น้ำ ที่เฌอปราง ต้องเชื่อในแดนว่าแดนจะต้องทำได้ และเมื่อเพื่อนเจอปัญหาเขาต้องช่วยเขาคิดและหาทางออกให้ได้ ต้องเป็นทั้งเพื่อนที่ดีและกึ่งเป็นนักสืบในตัว และใช้เซนส์ในการค้นหาคำตอบ
คาแร็คเตอร์ แดน ของ นนน ต้องพิสูจน์ให้ครอบครัวและอาจารย์เห็นให้ได้ว่าเขาทำได้ อาจารย์ที่มอบโอกาสในชีวิตให้กับเขา ชีวิตของเขาต้องผ่านบททดสอบจิตใจ ต้องชั่งน้ำหนักตลอดเวลา มาถึงวันแรกที่เห็นบุคลิกของนนน เหมือนเขามาเพื่อทำให้ได้ ดูมั่นใจ ในส่วนของ อ้น และ นพพันธ์ เขามาแบบ เงียบแต่อันตราย เขาไม่ได้มา ประโคม เขาตรงกับคาแร็คเตอร์ของอาจารย์เอมแบบครบเลย
และเขาเจอคำถามว่า พอมาทำสยองขวัญท้าทายไหม เขาตอบว่าถ้าเราลองทำอะไรครั้งแรกในชีวิตมันก็ต้องท้าทาย ทุกอย่างในเรื่องเป็นจุดทดสอบของทีมงาน แต่ Key Message ของ SLR นักแสดง ก็อยู่ในเรื่อง ก็อยากให้สนุกกับมัน
เพราะหนังก็ทำเพื่อความบันเทิงเอาใจคนที่ชอบแนวนี้ ถามว่าเรากดดันไหม ผมกับเอ็ดเป็นคนที่ไม่อยากทำหนังจากมุมของเราอย่างเดียว ในทีมต้องมีการรวมไอเดียหลากหลายเพื่อให้สำเร็จและนำพาเรื่องดี ๆ เรื่องหนึ่งไปสู่ผู้ชมให้ได้
ในความโดดเด่นของ SLR ความสยองขวัญเรามีแน่ ๆ แต่เราต้องการทำให้แตกต่างออกไปในมุมมองที่แปลกใหม่ ผมกับเอ็ดมองว่าหนังเรื่องนี้เป็นแนวความขัดแย้งภายในของมนุษย์ เป็น ระทึกขวัญจิตวิทยา ไม่ได้มีแต่ สยองขวัญ อย่างเดียว ก็อยากให้ทุกคนมาชมหนังเรื่องนี้ที่สนุกและน่ากลัวด้วย และอยากให้สนับสนุนหนังไทย ทั้งหมดนี้ก็คือคำพูดแรงบบรรดาใจของเขา
รีวิวSLR ผู้กำกับวุฒิชัย วงศ์นภดล
เรามาต่อในเรื่องของแนวคิดหรือแรงบรรดาใจของผู้สร้างเรื่องนี้ และผู้กำกับคนที่สอง ผู้กำกับ เอ็ด หรือ วุฒิชัย วงศ์นภดล ซึ่งเขาเจอคำถามว่า ก่อนหน้านี้เคยผ่านงานกำกับภาพยนตร์มาก่อนหรือเปล่า เคยกำกับภาพยนตร์ดราม่า หลง ทางทรู ออริจินัล ปี 2012 จากนั้นก็ไปทำงานเกี่ยวโปรดักชั่นที่เราถนัด
แต่ระหว่างทางก็รู้สึกอยากทำหนัง เวลาว่างก็จะคุยกับผู้กำกับ มาร์ค หรือ เลิศศิริ บุญมี เกี่ยวกับหนัง SLR ผู้กำกับ มาตลอด Cluster Creative Entertainment ของ สสว จนกระทั่งมีโอกาสได้มาคุยงานกับ เอ็ม พิคเจอร์ส ก็พัฒนาบทอยู่พักใหญ่จนในที่สุดก็ได้มาเป็น SLR
และ ทำไมถึงเลือกกำกับภาพยนตร์แนวสยองขวัญ เวลาเราทำหนัง เราจะเริ่มจากไอเดียที่คลิกก่อน เราเริ่มจากความเชื่อเก่า ๆ คนโบราณจะเชื่อว่าอย่าถ่ายรูปเพราะไม่อย่างนั้นจะดูดวิญญาณไป ผมกับมาร์คก็คิดกันว่าถ้าเรามีกล้องดูดวิญญาณจริง ๆ จะเป็นอย่างไรก็เลยพัฒนาเรื่องราวมาจากจุดนั้น ในส่วนของบทปรับกันมา 6 ร่างเพื่อให้สมบูรณ์มากที่สุด
ในส่วนของนักแสดงทำไมถึงเลือก นนน-กรภัทร์ เฌอปราง ศดานนท์ และ อ้น นพพันธ์ ตอนแคสท์ติ้ง ฝ่ายแคสท์ติ้งส่งนักแสดงหญิงมาให้ผมหลายคนเลย หนึ่งในนั้นมี เฌอปราง ซึ่งผมและมาร์คตัดสินใจเลือกเขาเพราะรู้สึกว่าเฌอปรางสามารถเข้าถึงสิ่งที่ไม่ได้บอกในบท
แต่เขาเข้าใจว่าตัวละคร น้ำ กำลังจะเจออะไร เขาเข้าถึงคาแร็คเตอร์ตัวละครที่เขียนไว้ ไม่คิดว่าเราจะได้เห็นในตอนแคสท์ติ้ง มีสิ่งที่ทำให้เราเซอร์ไพรส์ ในส่วนของ นนน-กรภัทร์ เราเห็นเขาในแง่มุมของความพยายาม ซึ่งมันตรงกับตัวละคร แดน แดนจะมีความพยายามในการเอาชนะความลำบากอะไรบางอย่างในเรื่อง นนนมีความต่อสู้ให้เราได้เห็น
2 ตัวละครเด่นที่เล่นได้ดี
ทางศดานนท์ มาแคสท์เป็น เกรท และ แดน เขาเล่นได้ดีทั้ง 2 ตัวละครเลย แต่เราเลือกให้เขาเป็นเกรท เพราะความ ยืดหยุ่นได้ ทำให้เรารู้สึกว่าเขาสามารถเชื่อมและสนับสนุนน้ำกับแดนได้ ศดานนท์จับให้เล่นอะไร เขาเล่นได้หมด ตัวละคร อาจารย์เอม รับบทโดย อ้น นพพันธ์
ทางแคสท์ส่งทั้งผู้หญิงและผู้ชายเข้ามา ภาพแรกของเราที่วางเอาไว้คืออาจารย์ที่ภาพลักษณ์ภายนอกดูดี เห็นแล้วน่าหมั่นไส้ในทันที ซึ่งอ้นเห็นครั้งแรกเขาดูเป็นแบบนั้นด้วยคาแร็คเตอร์ที่เราให้เขาทดสอบ เราก็เลือกอ้น
และ หลังจากร่วมงานกันนักแสดงแต่ละคนเป็นอย่างไรบ้าง เฌอปรางเป็นคนเตรียมการบ้านทุกครั้ง เขาจะสอบถามความรู้สึกของตัวละครที่จะต้องเข้าฉากในวันต่อ ๆ ไป ในส่วนของ นนน อย่างที่บอกเราเลือกเขาจากความพยายาม เวลาเราทำงานด้วยกัน เราจะไม่แสดงตัวว่าเป็นผู้กำกับ
เราจะคุยแบบเพื่อน หลอกตีสนิทด้วยการคุยเรื่องเชียร์บอล เราเชียร์กันคนละทีม เพื่อเป็นการละลายพฤติกรรม ทำให้การทำงานของเราไหลลื่น และเขาก็ทำได้ดีในสิ่งที่เขาได้รับมอบหมาย ในส่วนของ ศดานนท์ เขาเก่งและนำเสนอสิ่งที่เราอยากจะเล่าในมุมเซอร์ไพรส์ได้ สมมติเราขอเขาไป 5 แต่เขาเล่นแบบทะยานไป 7 หรือบางทีก็ 10 เลย
และ มีการเล่าเรื่องให้น่าสนใจอย่างไร ก็ต้องมีการปรับและจับจุดให้ได้ว่าจะทำให้ผู้ชมกลัวอย่างไรดี เราก็มีการศึกษาเรื่องนี้ด้วย
ในส่วนของนิยามความหลอนของ กล้อง ติด ตาย สปอย เป็น ปีศาจ ผสม จิตวิทยา เราเล่นกับจิตใจของตัวละครในเรื่อง
และฉากที่ยากที่สุด สำหรับเขา น่าจะเป็นฉากที่มี CG เรากับฝ่ายเทคนิคต้องทำการบ้านกันค่อนข้างเยอะกว่าจะได้ภาพที่เราพอใจ แต่ต้องเข้าใจในข้อจำกัดหลาย ๆ อย่างระหว่างสิ่งที่ทำได้และสิ่งที่เราต้องการ มันก็โอเคอยู่ ทีมของเรามีฝีมือด้านนี้ เขาทำได้เนียนเหมือนกัน โชคดีเราได้ทำงานกับคนเก่ง และแนะนำการถ่ายทำให้ออกมาได้ตรงกับสิ่งที่เราวาดภาพเอาไว้ในหัว
และคำถามสุดท้าย คิดว่า SLR โดดเด่นจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่น ๆ อย่างไร ผมคิดว่าน่าจะเป็น แนวคิดเริ่มต้น เพราะผูกกับความเชื่อเก่า ๆ ซึ่งเป็นจุดร่วมที่เข้าถึงคนไทยได้ ถามว่าหนังเรื่องนี้มีเสน่ห์ตรงไหน ผมคงบอกไม่ได้ว่ามันอยู่ตรงไหน ต้องให้คนดูเป็นคนตัดสิน แต่เรามีบทที่ตั้งใจจะทำประมาณนี้ และคิดว่าคนดูน่าจะสนุกและเข้าใจไปกับมันได้
ภาพยนตร์ผีของไทยที่โครตดี
และสุดท้ายนี้ที่ฉันจะพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ ในขณะที่นักแสดงของ SLR สปอย ก็ถือว่าใช้งานนักแสดงเจนใหม่ที่เต็มไปด้วยศักยภาพทุกคน ไม่ว่าจะ นนท กรภัทร์ และ เฌอปราง BNK48 หรือ นนท์ ศดานนท์
ซึ่งพวกเขาทุ่มเทถ่ายทำบทบาทของตัวเองในหนังเรื่องนี้ได้เต็มที่ และหนังก็สามารถเกลี่ยบทให้กับทุกตัวละครนำได้ค่อนข้างดีใช้ได้ เพียงแต่มิติของคาแรกเตอร์ต่าง ๆ เหล่านั้นยังไม่ค่อยมีอะไรให้น่าสนใจเท่าไหร่
นอกจากแค่หนุ่มสาว 3 คนที่ต้องเผชิญหน้ากับความกลัวบนความเชื่อของพวกเขา ทั้งที่น่าจะสามารถเค้นออกมาได้มากกว่านี้ แต่ก็เหมือนว่าการแสดงยังอยู่ในจุดเซฟโซนไปสักหน่อย
มีการว่ากันว่า ปี 2565 วงการหนังไทยจะรุกตลาด กับกระแสจักรวาลหนังมอนสเตอร์ไทย ๆ ชุดใหญ่ แต่คงต้องบอกว่า SLR กล้อง ติด ตาย ก็น่าจะถูกยังอยู่ในจักรวาลนั้นไปด้วยเรื่องหนึ่งแล้ว เพราะมันไม่ใช่แค่เป็นหนังผี แต่ยังใส่ความสัตว์ประหลาดเอาไว้ในหนังเรื่องนี้ ได้อย่างดีโครต ๆ
ถึงได้บอกว่าเป็นความทะเยอทะยานที่ไม่ค่อยจะเคยเห็นในวงการหนังไทยมาก่อน มันเป็นการพัฒนาที่ดี เพียงแต่ยังต้องพัฒนาต่อไปอีกกว่านี้ แต่ก็นับว่าหนังไทยเรื่องนี้พยายามมาได้ค่อนข้างถูกทางในระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งฉันอยากจะขอขอบคุณผู้กำกับสองคนของเรื่องนี้ที่สามารถสร้างหนังผีไทย ที่แหวกแนวเดิม ๆ มาให้เราชมกัน