รีวิว bleeding steel

รีวิว bleeding steel

หนังเก่ายอดนิยม ก่อนอื่นต้องบอกว่า ผมนั้นชอบหนังแนวๆต่อสู้มากโดยเฉพาะหนังที่ได้รับ นักแสดงบู๊จริงๆมาเล่น ผมจะชอบมากๆเลย เพราะเขาแสดงกันดีจริง ๆ ตั้งแต่เด็กจนโตจำได้เลยว่าทุกตรุษจีนจะมีหนังของเฉินหลงเข้าฉายทุกปี แต่ระยะหลังพอหนังฮ่องกงเสื่อมความนิยม เราเลยแทบไม่ได้เห็นหนังเฉินหลงที่มาพร้อมกับสโลแกนโปรแกรมยักษ์ต้อนรับตรุษจีนกันแล้ว แต่ถึงอย่างไรปีนี้เราก็ได้ดูหนังเฉินหลงที่ได้อารมณ์แบบหนังไซไฟแอ็คชั่นผสมกังฟูเข้ากับเรื่องราวคล้ายๆคอมิคค่ายมาร์เวลยังไงอย่างงั้นอย่าง Bleeding Steel ที่ถือเป็นการประเดิมนำเข้าหนังจีนของ ไฟว์สตาร์ ค่ายหนังไทยที่ช่วงหลังเริ่มมาจับธุรกิจนำเข้าหนังต่างประเทศบ้างแล้ว ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

ส ปอย หนัง เนื้อเรื่องของ Bleeding Steel ก็จะเหมือนเอาพลอตหนังไซไฟฮอลลีวูดมาผสมกับหนังดราม่าครอบครัว โดยเฉินหลงรับบทเจ้าหน้าที่ ลินตง ที่ต้องใช้ชีวิตในซิตนีย์เพื่อปกป้อง แนนซี่ หรือ ซีซี ลูกสาวของเขาที่ฟื้นจากความตายหลังได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายหัวใจจักรกลจากฝีมือของนักวิทยาศาสตร์แต่เขาจำเป็นต้องปกปิดตัวตนเพื่อให้รอดพ้นจาก อังเดร อดีตหนูทดลองที่กลายเป็นปีศาจหัวใจจักรกลสังหารที่ต้องการจับตัวแนนซี หวังใช้เลือดรักษาร่างกายและแก้แค้น ลินตง ที่ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องปลอดเชื้อหลังการปะทะกันเมื่อ 30 ปีก่อน โดยมี ลีสัน หัวขโมยหนุ่มที่มุ่งตามหาสมบัติของครอบครัวมาร่วมในเกมไล่ล่าครั้งนี้ด้วย ดูหนังออนไลน์ ดูหนังฟรี

รีวิว bleeding steel

รีวิว bleeding steel

รีวิว bleeding steel ต้องยอมรับว่าความเสื่อมถอยของสังขารเฉินหลงที่เล่นฉากผาดโผนเสี่ยงตายไม่ได้เหมือนก่อนก็ส่งผลต่อความดุดันของฉากแอ็คชั่นในเรื่องอยู่พอสมควร เพราะหากจำกันได้ในบรรดาหนังฮ่องกงที่เฉินหลงเคยเล่นเรามักจะได้ดูฉากต่อยเตะที่ถ่ายแบบลองเทคให้เห็นความต่อเนื่องแม้แต่การเปลี่ยนมุมกล้องก็ทำให้เห็นความต่อเนื่องของการเคลื่อนไหวที่ต้องอาศัยความแข็งแรงจากร่างกายนักแสดง

แต่สำหรับ Bleeding Steel เราจะเห็นได้เลยว่าหนังต้องอาศัยการตัดต่อเหตุการณ์มีภาพ อินเสิร์ต (Insert) แทรกเหตุการณ์เพื่อตัดฉากแอ็คชั่นให้สั้นลงและเน้นฉากระเบิดตูมตามและฉากที่ถ่ายกับผ้าใบบลูสกรีนเพื่อทำ CG ทีหลังมากกว่า จนภาพรวมของฉากแอ็คชั่นอาจไม่สะใจคอหนังบู๊ฮ่องกงที่หวังเห็นฉากต่อสู้ต่อยเตะโหดๆหรือฉากเสี่ยงตายแสนเร้าใจเหมือนเดิมนัก ขนาดฉากโรยตัวจากโอเปร่า เฮาส์ ที่ซิตนีย์ยังดูไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจเท่าใดนักเลย

นอกจากเฉินหลงแล้ว ยังมีนักแสดงดาวรุ่งอย่าง โชว์ ลัว ในบท ลีสัน ที่ส่องประกายสเน่ห์เล่นได้ทั้งบทบู๊และบทตลกคู่กับเฉินหลงได้อย่างไม่เคอะเขินและดูท่าว่าทั้งผู้กำกับและเฉินหลงก็ดูจะดันพ่อหนุ่มคนนี้อยู่ไม่น้อยด้วยการให้บท ลีสัน เป็นโจรหนุ่มสุดแสบที่มักพาตัวเองไปเจอเหตุการณ์กระอักกระอ่วนอยู่เสมอ ขอแนะนำให้ดูการปลอมตัวครั้งแรกของเขาแล้วจะเห็นความทุ่มเทในฐานะนักแสดงของ โชว์ ลัว เลยทีเดียว ส่วน นานะ อู หยาง ในบท แนนซี ก็น่าจะทำให้หนุ่มๆเพ้อได้ไม่ยาก

ด้วยใบหน้าสวยๆหมวยๆและบทบาทแบบสาวแสบแถมยังเล่นดราม่าได้ดีอีกต่างหาก เรียกได้ว่าหากมีผลงานต่อเนื่องก็น่าจะเตรียมแจ้งเกิดได้เลย ส่วน เอริกา เซียหู ที่มารับบทผู้ช่วยเฉินหลงก็มาในลุคผมสั้นสวยเปรี้ยวและรับบทตำรวจได้อย่างน่าเชื่อถือเช่นกัน เรียกได้ว่างานนี้เหมือนเฉินหลงต้องการให้ Bleeding Steel เป็นเวทีแจ้งเกิดกับนักแสดงรุ่นใหม่มากกว่าเป็นเวทีโชว์ผลงานตัวเองก็ว่าได้

การดำเนินเรื่อง bleeding steel

รีวิว bleeding steel

เมื่อดูจากเนื้อเรื่อง Bleeding Steel แล้วรู้สึกคุ้นๆก็ไม่ต้องแปลกใจเพราะมันแทบเอาพลอตหนังไซไฟฝรั่งดังๆอย่าง Universal Soldier (1992) หรือกระทั่งหนังซูเปอร์ฮีโร่มาร์เวลอย่าง Iron Man (2008) ผสมกับอารมณ์หนังสายลับอย่าง Mission Impossible (1996) มายำๆรวมๆกันแล้วใส่ดราม่าพ่อลูกที่กลายเป็นสัญลักษณ์ในหนังเฉินหลงยุคหลังๆเพื่อเป็นการไถ่บาปที่เขาเคยทอดทิ้ง เจซี ชาน ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนให้เผชิญปัญหายาเสพย์ติดเพียงลำพัง ดังนั้นหากคนดูจะแสวงหาความแปลกใหม่คงต้องบอกว่าการดู Bleeding Steel น่าจะให้อารมณ์ “เอ๊ะ! คุ้นๆว่าเคยดูหนังเรื่องไหนมา.”ได้ตลอดเวลามากกว่า

ซึ่งใครคุ้นเคยหนังฮ่องกงยุค 90 จะรู้ว่ามีหนังฮ่องกงแนวๆนี้ในอดีตหลายเรื่องที่อาศัยพลอตไซไฟล้ำๆเพียงเพื่อให้เกิดความแปลกใหม่ในการนำเสนอฉากบู๊แบบกังฟู สำหรับ Bleeding Steel ก็เช่นกัน เรียกได้ง่ายๆว่าทิ้งความสมเหตุสมผลทางวิทยาศาสตร์ไปเลย การนำ แมคกัฟฟิน (สตีเวน สปีลเบิร์กกับจอร์จ ลูคัส ใช้เรียกวัตถุที่ทำให้เกิดเรื่องสำหรับหนังชุด Indiana Jones) หรือ วัตถุกระตุ้นเรื่องอย่าง หัวใจจักรกล มาก็เพียงเพื่อเป็นเหตุผลที่อยู่ดีๆตัวเอกก็เก่งขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผลเท่านั้น

ซึ่งด้วยความที่มันยึดตำราหนังบู๊ฮ่องกงยุค 90 นี้ เลยทำให้เราเห็นความไม่สมเหตุสมผลประปรายอยู่ตลอดเรื่อง เรียกได้ว่า ฉากทดลองล้ำๆหรือฉากยิงกันนี่ไม่ได้สำคัญเท่าฉากต่อยเตะ รวมถึง CGที่หนังก็ไม่ได้เน้นสมจริงเว่อวังอะไรแถมบางจุดยังทำให้นึกถึงหนังโจวซิงฉืออย่าง คนไม่ธรรมดายืดได้หดได้อีกต่างหาก bleeding steel 1

พล็อตหนังที่โดดเด่นน่าสนใจ bleeding steel

รีวิว bleeding steel

พล็อตเรื่องมีการปูเรื่องแบบเล่นใหญ่พอตัวด้วยการเกริ่นว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์รุดหน้าไปไกลถึงขนาดสามารถสร้างหัวใจเทียมที่เป็นเครื่องจักร สามารถใส่เข้าไปในร่างมนุษย์เพื่อทำงานแทนหัวใจจริงๆ ที่เกิดภาวะผิดปกติได้ แถมผลข้างเคียงของมันยังทำให้ผู้ที่ได้รับการเปลี่ยนหัวใจเทียมสามารถฟื้นฟูบาดแผลตามร่างกายได้ไวเหมือนมีฮีลลิ่งแฟคเตอร์แบบเกมแอ็กชั่นทั่วไป รวมถึงยานพาหนะของเหล่าร้ายก็เป็นยานรบขนาดยักษ์ที่ดูรูปทรงแล้วน่าจะใช้บินไปดาวอังคารได้ด้วยซ้ำ

แต่ด้วยความที่ Bleeding Steel มีโปรดักชั่นระดับที่ใกล้เคียงกับหนังเกรด B มากเกินไป เลยทำให้องค์ประกอบหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นแอ็กติ้งของนักแสดงหลายคน รวมถึงคิวบู๊ และความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครทั้งฝ่ายดีและร้ายล้วนดูแล้วไม่น่าเชื่อถือได้เลย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมันคือหนัง “สไตล์เฉินหลง” ที่บทบู๊มักจะชอบสอดแทรกความตลกเข้าไป ทว่าพอมาพิจารณาร่วมกับโครงเรื่องและธีมของหนังที่มันควรจะออกแนวจริงจังมากกว่า จึงรู้สึกอยู่บ่อยครั้งระหว่างที่ชมภาพยนตร์ว่า ช็อตนี้มันควรจะซีเรียสบ้างนะ อะไรทำนองนี้

สิ่งที่อยู่คู่มานานกับหนังจีนในไทยอย่างเสียงพากย์จากทีมพันธมิตรก็เป็นจุดดีและจุดด้อยในคราวเดียวกันครับ หลายๆ มุกตลกที่ทีมงานแทรกเข้ามาเป็นระยะช่วยให้ตัวหนังไม่น่าเบื่อเกินไปนัก แต่ในขณะที่บางมุกก็ค่อนข้างจะสองแง่สองง่ามไปหน่อย แถมบางช่วงที่ตัวเองเลือกที่จะเดินเรื่องแบบเงียบๆ พี่แกก็ดันยิงมุกแบบไม่ดูจังหวะจะโคน จนอารมณ์ที่หนังจะสื่อในช่วงเวลานั้นมันดูขัดกันทันที

แม้ว่า Bleeding Steel กับ The Foreigner จะเป็นหนังแอ็กชั่นคนละฟีลกัน แต่ผู้เขียนมองว่า The Foreigner กลับสร้างความประทับใจได้มากกว่า นั่นก็เพราะว่าเรื่องดังกล่าวรีดเค้นความสามารถในด้านการสื่อสารทางอารมณ์ของเฉินหลงออกมาได้ดีกว่า รวมถึงการปูเรื่อง แรงจูงใจของคนร้ายในเรื่องก็ดูสมเหตุสมผลกว่า ทว่า Bleeding Steel ก็ดูพอเอาเพลินๆ ได้ระดับหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวอยากเห็นเฉินหลงลองเล่นบทหนักๆ เหมือนกับที่เคยเล่น The Foreigner ดูในหลายๆ เรื่องบ้าง บางทีอาจจะเอื้อกับสังขารของเฉินหลงที่เริ่มจะโรยเข้าไปทุกทีก็เป็นได้ bleeding steel budget

รีวิว bleeding steel

รีวิว bleeding steel เราอาจจะต้องยอมรับความจริงที่ว่านักแสดงหนังแอ็คชั่นอย่างเฉิน หลงในวัย 63 ปี จะให้ลุกขึ้นมาเตะต่อยแบบสมัยเขายังอายุ 20 นั้นคงจะเป็นเรื่องที่ฝืนธรรมชาติเป็นอย่างมาก สิ่งที่ปรากฏอยู่ในหนังอย่าง Bleeding Steel ผลงานเรื่องล่าสุดของเขานั้นจึงทำให้เราเห็นว่า อายุที่มากขึ้นทำให้เขาต้องเล่นฉากต่อสู้น้อยลง และหลายครั้งคิวบู๊ก็ต้องอาศัยการตัดต่อเป็นตัวช่วยอย่างมาก แต่ปัญหาของ Bleeding Steel ไม่ได้อยู่ที่ฉากแอ็คชั่น (จำนวนน้อยของเฉิน หลง) หากแต่เป็นบทภาพยนตร์ที่ “เชย” ราวกับหนังเมื่อ 20 ปีก่อน

หนังว่าด้วยเรื่องราวของ ลินดง (เฉิน หลง) เจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษของ UNSS มีภารกิจสำคัญในการปกป้องพยานคนสำคัญจนทำให้เขาต้องเลือกหน้าที่การงาน ก่อนลูกสาวที่นอนป่วยอาการสาหัสไว้ในโรงพยาบาล ภารกิจนครั้งน้นของลินดง เขาเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเนื่องจาก วายร้ายอย่างไซบอร์ก อังเดร ต้องการของบางอย่างจากตัวพยาน หลายปีต่อมา ลินดงย้ายไปอยู่ที่ออสเตรเลียเพื่อทำการดูแลอารักกขาเด็กสาวที่ชื่อว่า แนนซี่ (นาน่า อู๋หยาง) ซึ่งลินดง ไม่เคยเปิดเผยความจริงว่าเขาเป็นพ่อแท้ๆของเธอ เพราะกลัวว่าแนนซี่จะได้รับอันตราย

วิธีการเล่าเรื่องของ Bleeding Steel จัดได้ว่าเล่าเรื่องตามหนังในสมัยยุค 90 ที่แบนราบไร้มิติ ในทุกตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นตัวร้ายที่เหมือนหลุดมาจากหนังสือการ์ตูน บทพระเอกคุณพ่อผู้ผดุงคุณงามความดีและต้องการจะปกป้องลูกสาว แฟนหนุ่มของลูกสาวที่มากมุกตลกและอารมณ์ขัน เหมือนตัวโจ๊กประจำเรื่อง ปัญหาก็คือผู้กำกับอย่างลีโอ จาง กลับเล่าสูตรสำเร็จทั้งหมดนี้ออกมาได้ “ไม่สนุก” และ “จืดชืด” กว่าที่หนังควรจะเป็น bleeding steel box office

สรุป bleeding steel

โดยสรุปแล้วผมให้คำแนน 6/10 ถึงแม้ว่าดูได้ สนุกเอาเรื่อง ไม่ได้ง่วงอะไรขนาดนั้น ทั้งที่ความพยายามของ Bleeding Steel นั้นเหมือนจะเล่าเรื่องแบบหนังซูเปอร์ฮีโร่ ที่มีตัวเอกเป็นคนธรรมดา แต่ทุกอย่างในหนังก็ดูถูกใส่เข้ามาอย่างผิดที่ผิดทางไปหมด (หลายครั้งมันผิดจนกลายเป็นความตลกแบบไม่ได้ตั้งใจ) แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ หนังค่อนข้างแห้งแล้งฉากแอ็คชั่น แถมฉากต่อสู้ที่มี การตัดต่อรวดเร็วฉับไว จนหลายครั้งเราก็ดูไม่ทันเหมือนกันว่าสรุปแล้วใครกำลังต่อสู้กับใคร โดนฮุคหมัดเข้าที่ตรงไหน

เมื่อระหว่างทางของหนังไม่ค่อยสนุก มิหนำซ้ำการคาดเดา “ตอนจบ” ของหนังเรื่องนี้ ก็ไม่ได้มีอะไรยากเย็นเหนือการคาดเดา เพราะทุกอย่างไม่มีอะไรเดินออกจาก “สูตร” เลยสักนิดเดียว ทำให้ความยาว 2 ชั่วโมงของหนังเรื่องนี้ดู “ยาวนาน” กว่าที่คิด bleeding steel netflix

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *