รีวิว Jurassic World Dominion

รีวิว Jurassic World Dominion

รีวิว Jurassic World Dominion

สวัสดีครับเพื่อนๆน้องๆชาวแฟนหนังไดโนเสาร์ หนังใหม่แนะนำ โดยหลังจากที่หนังภาคก่อนเหตุการณ์ ในภาคที่แล้วอย่าง Jurassic World 2 จบลงไปนั้น ก็เรียกได้ว่านี้คืออีกหนึ่งภาคที่แอครอมาอย่างยาวนานเป็นหนังไดโนเสาร์ที่แอดชอบมากๆ ตอนดูในโรงรู้สึกว่าไม่อยากให้จบเลย 555 ถือเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นของบทสรุปไตรภาคไดโนเสาร์ครองโลกใน ‘Jurassic World Dominion’ (2022) หรือ ‘จูราสสิคเวิลด์ ทวงคืนอาณาจักร’ ภาพยนตร์ภาคที่ 3 ของไตรภาคจูราสสิค เวิลด์ (Jurassic World) และภาพยนตร์ลำดับที่ 6 ในจักรวาลจูราสสิค นับตั้งแต่ที่ภาพยนตร์ภาคแรก ‘Jurassic Park’ (1993) ออกฉายเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วโน่น

รีวิว Jurassic World Dominion

แต่กว่าที่น้องบลู และเหล่าไดโนเสาร์จากยุคจูราสสิกจะได้กลับมาโลดแล่นกันในปีนี้ ตัวหนังก็ถือว่าต้องผ่านอะไรต่อมิอะไรมามากพอสมควร ทั้งกระแสจากภาคที่แล้ว ‘Jurassic World 2: Fallen Kingdom’ (2018) ผลงานการกำกับของ ‘เจ. เอ. บาโยนา’ (J. A. Bayona) ที่ได้คะแนนมะเขือเน่าจากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes เพียงแค่ 47% ต่ำที่สุดในบรรดาแฟรนไชส์จูราสสิก พาร์ก แม้จะทำรายได้ค่อนข้างดี แต่พอออกทรงลูกผีลูกคนขนาดนี้ อาจารย์ปู่ ‘สตีเวน สปีลเบิร์ก’ (Steven Spielberg) Executive Producer เจ้าของแฟรนไชส์ เลยเรียกตัว ‘โคลิน เทรวอร์โรว์’ (Colin Trevorrow) ผู้กำกับจาก ‘Jurassic World’ (2015) กลับมากำกับในภาคนี้อีกครั้ง เว็บดูหนัง

รีวิว Jurassic World Dominion

รีวิวหนังใหม่ สถานการณ์เริ่มคลี่คลายในเดือนกรกฏาคม 2020 ทางยูนิเวอร์แซล สตูดิโอส์ (Universal Studios) จึงยอมควักเงินอีก 5 ล้านเหรียญสำหรับเซ็ตมาตรการความปลอดภัย ถือว่าเป็นกองถ่ายแรก ๆ ที่กลับมาเริ่มถ่ายทำอีกครั้งหลังการระบาดครั้งใหญ่ เริ่มตั้งแต่การร่างเอกสารคู่มือมาตรการจำนวนนับร้อยหน้า แจกให้กับนักแสดงและทีมงานทุกคน มีจุดตรวจคัดกรอง มีห้องฉุกเฉินในกองถ่ายกรณีพบผู้ติดเชื้อ นักแสดงและทีมงานจะต้องกักตัวในโรงแรมที่ยูนิเวอร์แซลเช่าไว้ทั้งอาคารเพื่อใช้เป็นบับเบิลที่ควบคุมอย่างเข้มงวด

สำหรับเรื่องย่อ ๆ ในภาคนี้ ก็จะเริ่มดำเนินเรื่อง 4 ปีให้หลังจาก ‘Jurassic World 2: Fallen Kingdom’ เกาะ ‘อิสลา นูบลาร์’ (Isla Nublar) ที่ตั้งดั้งเดิมของสวนสนุกจูราสสิก เวิลด์ ถูกทำลายเพราะถูกภูเขาไฟถล่ม ไดโนเสาร์ทั้งหลายถูกปล่อยออกสู่ธรรมชาติ (ตรงตามชื่อจูราสสิก เวิลด์ซะทีสินะ…) ‘โอเวน เกรดี’ (Chris Pratt) ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมไดโนเสาร์ ‘แคลร์ เดียริง’ (Bryce Dallas Howard) อดีตนักวิจัยไดโนเสาร์ และน้อง ‘เมซี ล็อกวูด’ (Isabella Sermon) ปลีกวิเวกอาศัยอยู่ร่วมกันในบ้านกลางป่าลึก

รีวิว Jurassic World Dominion

ส่วนน้องบลู ไดโนเสาร์แรปเตอร์สีน้ำเงิน ก็มีลูกแล้วด้วยตอนนี้ ในภาคนี้ ทั้งสามคนจึงต้องเผชิญหน้ากับการกลับมาครองโลกอีกครั้งของไดโนเสาร์ที่กำลังจะกลายมาเป็นจุดสูงสุดบนห่วงโซ่อาหารแทนมนุษย์ และเผชิญหน้ากับบริษัทไบโอซิน จีเนติกส์ (BioSyn Genetics) ที่สร้างภาพว่าเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร แต่กำลังมีแผนจะเข้ามาหาประโยชน์จากไดโนเสาร์อยู่เบื้องหลัง โดยมี ‘อดัม แกรนต์’ (Sam Neill), ‘เอียน มัลคอล์ม’ (Jeff Goldblum)), ‘เอลลี แซตเลอร์’ (Laura Dern) และ ‘ดร. เฮนรี วู’ (BD Wong) แก๊งผู้เชี่ยวชาญด้านไดโนเสาร์จากยุคจูราสสิก พาร์ค มาร่วมผจญภัยหาทางหยุดยั้งวิกฤติที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดในประวัติศาสตร์

ตัวหนังในภาคนี้ถือว่าขยายสเกลแบบเล่นใหญ่เวอร์วังทุกภาคส่วนจริง ๆ ครับ ตั้งแต่ความยาวเกือบ 2 ชั่วโมงครึ่งนักแสดงจากทั้งภาคเก่าภาคใหม่ พันธุ์ไดโนเสาร์ที่หลากหลายมากที่สุด และอัปเดตเวอร์ชันล่าสุดจากนักบรรพชีวินวิทยาแล้วเรียบร้อย (ส่วนบางตัวนี่ก็อัปเกรดเกินเบอร์ไปหน่อยนะ) รวมทั้งการผสมผสานระหว่าง CGI กับหุ่นกลไกไดโนเสาร์เสมือนจริง หรือแอนิเมทรอนิกส์ (Animatronics) ที่นำมาใช้มากที่สุดในไตรภาคแล้ว รวมทั้งการถ่ายทำในหลาย ๆ โลเคชัน หลากภูมิประเทศจากทุกมุมโลก ดูหนัง

สรุป Jurassic World Dominion

รีวิวหนังใหม่ อีกจุดที่ถือว่าน่าสนใจก็คือ บทภาพยนตร์จากฝีมือของเทรวอร์โรว์และ ‘เอมิลี คาร์ไมเคิล’ (Emily Carmichael) ที่เคยร่วมปูทางด้วยการเขียนบทและกำกับหนังสั้นเรื่อง ‘Jurassic World: Battle at Big Rock’ (2019)* มาก่อนแล้ว ก็เลยทำให้มีวัตถุดิบที่เป็นประเด็นหลัก ๆ ของหนัง ที่จั่วหัวตอนเปิดเรื่องไว้แบบเข้ม ๆ และน่าสนใจ ทั้งการที่ไดโนเสาร์อยู่ร่วมกับธรรมชาติและมนุษย์ ที่ส่งผลต่อโลก ธรรมชาติ และวิถีชีวิตมนุษย์ในโลกยุคออนไลน์ราวกับโควิด-19 ก็มิปาน

รวมทั้งประเด็นการที่มนุษย์หาประโยชน์จากไดโนเสาร์ ที่คราวนี้ไม่ได้แค่เอาไปขายเป็นตัว ๆ แต่พยายามจะเอาเทคโนโลยีมาแอบอ้างหาประโยชน์ใหัตัวเอง และพยายามดัดแปลงไดโนเสาร์ให้มีคุณสมบัติอย่างที่ตัวเองต้องการโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบโดยรวม ทำให้บางครั้ง มนุษย์ที่มักมองตัวเองเป็นผู้ล่า แต่จริง ๆ แล้วมนุษย์เองก็หลงลืมไปเหมือนกันว่า บางครั้งตัวมนุษย์เองนี่แหละก็ทำตัวเองให้กลายเป็นผู้ถูกล่าได้เหมือนกันนะ\

ความเอาอยู่ของผู้กำกับอีกอย่างคือจังหวะการเล่าเรื่องที่ถือว่าสามารถคุมไดนามิกได้น่าสนใจครับ เป็นการอัปเกรดจากตัวหนังที่เคยเป็น Action Adventure ในเกาะปิดตาย แต่คราวนี้ตัวละครหลักจะได้ออกไป Adventure พบเจอกับงานด้าน Action ทั้งจากไดโนเสาร์และจากมนุษย์ในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เรียกว่าตั้งแต่ต้นเรื่องก็ซัดแอ็กชันสับตีนแตกให้ได้ลุ้นกันแล้ว ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนช้า และสับเกียร์เร่งเครื่องผ่อนช้าผ่อนเร็วไปตลอดเรื่อง

รีวิว Jurassic World Dominion

ส่วนในแง่ของนักแสดง ด้วยความที่ตัวนักแสดงมีค่อนข้างเยอะ ตัวเนื้อเรื่องก็เลยจะแบ่งเป็น 2 เส้นเรื่องโดยปริยาย ก่อนจะมาบรรจบกันในองก์สุดท้าย ด้วยวิธีนี้เองก็เลยทำให้ตัวละครจากฝั่งภาคเก่า และฝั่งภาคใหม่ดูมีภารกิจที่อิสระจากกัน

ก่อนที่จะมาเจอกัน แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยตัวบทเองที่วางคาแรกเตอร์และปูมหลังของแต่ละตัวละครเอาไว้ชัดเจน ก็เลยไม่เกิดอาการแย่งซีนกัน ถือเป็นการแชร์สัดส่วนของบทบาทได้ออกมาลงตัวและน่าสนใจดีครับ นักแสดงจากภาคเก่าเองก็ยังคงคาแรกเตอร์จากหนังดั้งเดิมให้ได้เรียกยิ้ม ส่วนตัวละครใหม่เองก็มี Vibe ที่น่าสนใจกันทั้งนั้น

แต่เห็นเล่นใหญ่ใจโต และผู้กำกับมือถึงแบบนี้แต่ก็ใช่ว่าไม่มีข้อสังเกต เพราะแม้ช่วงครึ่งแรกของหนังจะน่าสนใจในแง่ของแอ็กชันไดโนเสาร์ในบรรยากาศธรรมชาติแบบเปิด และกลางเรื่องเองก็สามารถผลักให้กลายเป็นหนังแอ็กชันไล่ล่าสุดมันสุดระทึกน้อง ๆ ‘Mission: Impossible’ หรือ ‘Fast & Furious’ เลยแหละ

แต่กลายเป็นว่า การดำเนินเรื่องในช่วงท้าย ๆ ที่เล่นเพลย์เซฟด้วยการพาคนดูกลับไปสู่วิธีการแบบภาคเก่า ๆ จนทำให้พล็อตหนังจากที่เดาบทสรุปยากในครึ่งแรก กลายเป็นเดาง่ายในครึ่งหลัง และพาให้ความรู้สึกในช่วงบทสรุปตอนท้ายของหนังออกจะจำเจ จบแล้วก็จบกัน ไม่ได้ชวนให้ประทับใจ สะเทือนใจอย่างที่หนังปิดไตรภาคควรจะเป็น รวมทั้งบางเส้นเรื่องที่สอดแทรกเข้ามา ที่แม้จะดูว้าว้าวดี แต่พอขบคิดไป ๆ มา ๆ แล้วก็แบบว่า อืม…เกี่ยวกันยังไงวะเนี่ย…

โดยสรุป ‘Jurassic World Dominion จูราสสิคเวิลด์ ทวงคืนอาณาจักร’ จะยังมีทิศทางอาจจะดูยังเพลย์เซฟเหมือนหนังภาคอื่น ๆ ที่ชวนให้รู้สึกจำเจอยู่พอสมควร แต่ก็ถือว่าเป็นการปรับเขย่ารสชาติที่ทำออกมาได้สนุกลงตัว ด้วยงานโปรดักชันที่เล่นใหญ่จัดเต็ม งานซีจีเนี้ยบ ๆ ไดโนเสาร์ที่มีทั้งความน่ารักและน่ากลัว งานแอ็กชันเวอร์วังติดโม้นิด ๆ ประเด็นชวนคิดเข้ม ๆ และงานแฟนเซอร์วิสที่ได้ผลสำหรับแฟน ๆ เป็นบางอัน

หากจะมองเป็นหนังปิดไตรภาค ก็ถือว่าเป็นการปิดไตรภาคที่ค่อนข้างโอเคนั่นแหละครับ แม้อาจจะยังไม่ถึงขั้นประทับใจ แต่ถ้ามองเป็นหนังบันเทิงครบรสสำหรับครอบครัว หนังของคนรักไดโนเสาร์ หรืออยากโดนพลังเสียงจากลำโพงหมื่นวัตต์ระบบ IMAX อัดกระแทกรูหู หนังเรื่องนี้ก็ถือว่าตอบโจทย์ที่ไม่ว่าจะดูแบบไหนก็ไม่น่าจะเสียดายค่าตั๋วครับ เว็บหนัง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *